SET สุดคุ้ม Qnature Lecithin 1200mg. 30 Softgels.+ Brewer Yeast 30เม็ด. + Gingko Biloba 60mg. 30 Softgels.คิวเนเจอร์ เลซิติน+คิวเนเจอร์ บริวเวอร์ ยีสต์+คิวเนเจอร์ จิงโกะ ไบโลบา

วิตามิน อาหารเสริม เวชสำอาง บำรุงผิว อุปกรณ์ดูแลสุขภาพ

เข้าสู่ระบบ    | ยังไม่มีสินค้า  
หน้าแรก  รีวิวสินค้า  ปัญหาสุขภาพ  วิธีสั่งซื้อ  ข่าวสาร  แนะนำสินค้า  สาระน่ารู้  ติดต่อเรา 
  Qnature

SET สุดคุ้ม Qnature Lecithin 1200mg. 30 Softgels.+ Brewer Yeast 30เม็ด. + Gingko Biloba 60mg. 30 Softgels.คิวเนเจอร์ เลซิติน+คิวเนเจอร์ บริวเวอร์ ยีสต์+คิวเนเจอร์ จิงโกะ ไบโลบา

ลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มการทำงานของระบบสมอง

คิวเนเจอร์ เลซิติน 1000มก. ลดระดับไขมันในเลือด + บริวเวอร์ ยีสต์ อาการอ่อนเพลีย ภาวะลำไส้แปรปรวน ภูมิต้านทาน + คิวเนเจอร์ จิงโกะ ไบโลบา ช่วยการไหลเวียนของเลือดที่สมอง/ช่วยให้ความจำดีขึ้น
รหัสสินค้า28884-28888-28883

ขนาด1 Set
ราคาปกติ 980 บาท
ผู้ผลิตQnature
สถานะสินค้ามีสินค้า in stock
PROMOTION       WOW!!!!!! SET สุดคุ้ม ด่วนจำนวนจำกัด!!!
ราคา 555 บาท
ราคาพิเศษ
    สั่งซื้อ  
การจัดส่ง FLASH EXPRESS ทุกวันจันทร์ - เสาร์ ตัดรอบ 11.00 น. (1-2 วันทำการ)
การชำระเงิน ดูรายละเอียด
 
รายละเอียดสินค้า
1 .Q Nature Lecithin 1200mg. 30 Softgels. คิวเนเจอร์ เลซิติน 1000มก. ลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มการทำงานของระบบสมอง ช่วยซ่อมแซมตับที่ถูกทำลายการการดื่มแอลกอฮอล์ เลซิทินมีสารที่สำคัญคือฟอสฟาทิดิล โคลีน (phosphatidyl choline) ช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เพิ่มการทำงานของระบบสมอง ช่วยซ่อมแซมตับที่ถูกทำลายการการดื่มแอลกอฮอล์ ที่ผ่านมาเราอาจจะรู้จักเลซิตินในนามของสารบำรุงสมอง ช่วยเสริมสร้างความจำ ป้องกันสมองเสื่อม แต่ใครจะรู้ว่ามีอีกฤทธิ์ที่ให้ประโยนช์ต่อร่างกายไม่แพ้กัน คือช่วยป้องกันเราจากโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุการตายของคนไทยลำดับต้นๆเลยทีเดียว เลซิติน หาได้จากที่ไหนบ้าง? เราสามารถพบเลซิทินได้จากแหล่งอาหารจำพวก ไข่แดง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน ตับ แต่น่าเสียดายที่เมื่ออาหารเหล่านี้ผ่านความร้อน ผ่านการนำไปปรุงอาหาร สารเลซิทินจะลดระดับลง เลซิตินช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างไร?? หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดคือการมีระดับไขมันในเลือดสูง ซึ่งเลซิตินช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ก็เท่ากับว่าลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้นั่นเอง โดยเลซิตินจะไปลดการดูดซึมของไขมันในทางเดินอาหาร ลดการดูดกลับของน้ำดี ทำให้ร่างกายต้องใช้ไขมันในการสร้างน้ำดีมากขึ้น เพิ่มการนำไขมันมาใช้ ระดับไขมันในเลือดก็จะลดต่ำลงค่ะ ขนาดที่แนะนำในเพื่อให้ได้ฤทธิ์ลดไขมันในเลือดคือการใช้เลซิทิน 1200 mg ก่อนอาหารในแต่ละมื้อ วิธีรับประทาน รับประทานครั้งละ 1 ซอฟท์เจล วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร อ.ย 13-2-00763-2-0070 2 .Qnature Brewer yeast 30s. คิวเนเจอร์ บริวเวอร์ ยีสต์ 30 เม็ด Brewer yeast บริวเวอร์ ยีสต์ เป็นยีสต์ที่เกิดจากการหมักเบียร์ โดยใช้ยีสต์ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Saccharomyces cerevisiae นำมาผ่านความร้อน จนไม่มีฤทธิ์ แต่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารหลายชนิด เป็นแหล่งของวิตามินบีรวม และมีกรดอะมิโนแอซิดที่จำเป็นต่อร่างกายเกือบทุกชนิดในปริมาณที่สมดุลย์ นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วย chromium ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของอินซูลินในการลดระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย นำมาใช้ในผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย ช่วยดูแลสมอง และ ระบบประสาท ใช้ในผู้ที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวน ท้องผูก ท้องเสีย และยังเสริมภูมิต้านทานได้อีกด้วย บริเวอร์ยีสต์ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Saccharomyces Cerevisias ✿ อุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมาย ✿ กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 16 ชนิด ✿ เกลือแร่ 14 ชนิด และวิตามิน 17 ชนิด ✿ เป็นแหล่งธรรมชาติที่ดีของ Vitamin B Complex ✿ มีเกลือแร่สูง คือ โครเมียม สังกะสี เหล็ก ฟอสฟอรัส และเซเลเนียม ✿ เป็นแหล่งที่สำคัญของโปรตีน มีโปรตีนถึง 16 กรัมต่อปริมาณผงยีสต์ 30 กรัม บรีเวอร์ยีสต์ ช่วยผิวสวย งานวิจัยหลายเรื่องศึกษาประโยชน์ของบริเวอร์บยีสต์ต่อสุขภาพผิว โดยหนึ่งในนั้นคืองานวิจัยจากสมาคมเวชศาสตร์ชะลอวัย ประเทศญี่ปุ่น (The Japanese Society of Anti-Aging Medicine) ที่ศึกษาผลของบรีเวอร์ยีสต์ต่อสุขภาพผิวให้ อาสาสมัครหญิง 32 คน นักวิจัยพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับบรีเวอร์ยีสต์เสริมวันละ 7,125 มิลลิกรัม นาน 8 สัปดาห์ มีสุขภาพผิวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับบรีเวอร์ยีสต์เสริม โดยพบว่า บรีเวอร์ยีสต์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่นให้กับผิว ลดอาการผื่นคัน เพิ่มความกระจ่างใส และช่วยให้รูขุมขนเล็กลง ความน่าสนใจของ สารสกัดบรีเวอร์ยีสต์ นอกจากนี้ ในยีสต์ยังมีธาตุเหล็ก แคลเซียม และโพแทสเซียม ปัจจุบันมีการใช้ยีสต์ผลิตราโรทีนอยส์และบีตา-คาโรทีนอยด์ ที่เป็นวัตถุสำคัญเนื่องจากมนุษย์ และสัตว์ไม่สามารถสร้างได้เองต้องรับมาจากภายนอก มีประโยชน์ในการต่อต้านมะเร็งหลายชนิดและโรคอื่น ๆถึง 10 ชนิด เช่น มะเร็งเต้านม ปอด ลำไส้ใหญ่ ซึ่งแน่นอน เราคงไม่สามารถหายีสต์มาทานได้เอง แต่เราสามารถหาได้จากแบรนด์อาหารเสริม ในทั่วตลาดได้ โดยเมื่อเปรียบเทียบยีสต์กับข้าวสาลีซึ่งเป็นอาหารที่ให้วิตามินบีสูง พบว่ายีสต์มีวิตามินบี 1 มากกว่าถึง 10 เท่า วิตามินบี 2 มากกว่า 8 เท่าและมีวิตามินบี 3 มากกว่า 10 เท่า โดยทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ เช่น โลหิต ข้อต่าง ๆ ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ประสาท ล้วนแต่ต้องการวิตามินบีทั้งสิ้น หากเปรียบเทียบยีสต์กับเนยถั่วพบว่ายีสต์ 1 ช้อนโต๊ะ มีไขมันเพียง 1 ใน 8 ของไขมันในเนยถั่ว ดังนั้น ถ้าจะรับประทานเป็นอาหารเสริมสุขภาพ ขอแนะนำให้รับประทานยีสต์ผง ที่สามารถนำมาโรยบนอาหารอะไรก็ได้หรือจะคลุกกับเนื้อทอดก็อร่อยเช่นกัน Brewer yeast ดีอย่างไร ✿ ช่วยอาการอ่อนเพลีย ช่วยดูแลสมอง และ ระบบประสาท เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินบี (Vitamin B Complex) เช่น วิตามินบี 1(Thiamine) วิตามินบี 2(Riboflavin) วิตามินบี 3(Niacin) วิตามินบี 5 (pantothenic Acid) วิตามินบี 6 (Pyridoxine) วิตามินบี 7 (Biotin) วิตามินบี 9 (Folic Acid) ✿ ภาวะลำไส้แปรปรวน ท้องร่วง ท้องผูก ในการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า Brewer Yeast ต้านการติดเชื้อ clostridium difficile ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง อีกทั้งใน Brewer Yeast มีไฟเบอร์ในส่วนประกอบ ช่วยในเรื่องท้องผูกได้ ✿ เสริมภูมิต้านทาน ใน Brewer Yeast มีเบต้ากลูแคน ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ✿ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ใน Brewer Yeast มี chromium เป็นส่วนประกอบช่วยในการทำงานของอินซูลินในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ขนาดการรับประทาน ✿ ภูมิแพ้ ติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนบน : รับประทานวันละ 500 มก. ✿ ภาวะลำไส้แปรปรวน : รับประทานวันละ 500-1000 มก. เป็นเวลา 8-12 สัปดาห์ ✿ ป้องกันท้องเสียจากการเดินทาง : รับประทานครั้งละ 500 มก. วันละ 4 ครั้ง ข้อแนะนำและข้อควรระวัง ✿ ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรค Crohn disease เนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลง ✿ ระวังการใช้ในผู้ที่มีระบบภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยติดเชื้อ HIVs หรือ ผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากอาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อราในกระแสเลือดได้ ✿ ห้ามใช้ร่วมกับยาต้านการซึมเศร้ากลุ่ม MAOIs เนื่องจากใน Brewer yeast มี tylamine เป็นส่วนประกอบ การใช้ร่วมกับยากลุ่ม MAOIs ส่งผลให้ระดับ tylamine ในเลือดสูงมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ความดันโลหิตสูงจนอาจเกิดอันตรายได้ วิธีรับประทาน รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร เลขที่จดแจ้ง / เลข อย. 13-2-00763-2-0076 3 .Qnature Gingko Biloba 60mg. 30 Softgels คิวเนเจอร์ จิงโกะ ไบโลบา 60มก. แปะก๊วยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Ginkgo biloba L. มีสารสำคัญกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ (Terpinoidal compounds) ได้แก่ ไบโลบาไลด์(Bilobalide) และใบแปะก๊วยยังมีสารสำคัญกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ชนิดที่พบบ่อยคือ quercetin และ kaempferol ทำให้แปะก๊วยมีสรรพคุณที่เด่นชัดในด้านการอนุมูลอิสระ ช่วยการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังมีส่วนช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และความจำได้อีกด้วย ● มีฤทธิ์อนุมูลอิสระ ในแปะก๊วยมีสารลดอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายจากการถูกทำลาย ทำให้เซลล์มีความแข็งแรง และช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งได้ ช่วยลดไขมัน LDL และช่วยป้องกันจอตา (retina) ได้อีกด้วย ● มีฤทธิ์เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และความจำ ใบแปะก๊วยอุดมไปด้วยสารสำคัญที่จำเป็นต่อการบำรุงระบบประสาทและสมอง จึงช่วยส่งเสริมในด้านการเรียนรู้ และการจดจำ อีกทั้งยังช่วยอาการสมองเเสื่อมได้อีกด้วย ● มีฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ใบแปะก๊วยทำให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้มีเลือดไหลไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกายได้มากขึ้น สามารถใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน ● ช่วยเพิ่มการมองเห็น สารสำคัญในใบแปะก๊วยทำให้การมองเห็นระยะยาวและลานสายตาของผู้ป่วยสูงที่จอประสาทตาเสื่อมดีขึ้น และยังสามารถชะลอความเสื่อมของจอตาได้ในผู้ป่วยเบาหวาน ● ช่วยอาการหลอดเลือดส่วนปลายหดตัว เนื่องจากใบแปะก๊วยมีสรรพคุณกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จึงทำให้เลือดไหลไปยังปลายมือปลายเท้าได้ดีมากขึ้น สารออกฤทธิ์ในสารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย มีสารสำคัญ 2กลุ่ม 1. สารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ ประกอบด้วยสาร sesquiterpene ได้แก่ ไบโลบาไลด์ (bilobalide) และ ไดเทอร์ปีนคีโตน5 ชนิดรวมเรียกว่า “กิงโกไลด์” (ginkgolides) ได้แก่ ginkgolides A, B, C, J และ M 2. สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ในแป๊ะก๊วยมี flavonoid มากกว่า 30 ชนิด โดยเฉพาะ flavonoid glycoside โดยมีส่วน aglycone เป็นฟลาโวนอยด์หลัก 2 ชนิดคือ quercetin และ kaemferol เช่น quercetin-3-rhamnoside, kaemferol-3-rhamnoside, quercetin-3-rutinoside ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้ในใบยังมีสารจำพวก biflavonoids หลายชนิด เช่น amentoflavone, bilobetin, ginkgetin, iso-ginkgetin เป็นสารที่พบเฉพาะในใบแป๊ะก๊วย ซึ่งมีคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้ · เป็นสารอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากการทำลายของอนุมูลอิสระ · ช่วยการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น · เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดเส้นเล็กๆ ส่งผลให้การนำพาออกซิเจนและอาหารไปเลี้ยงสมอง และส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น · ต่อต้านการจับตัวของเกร็ดเลือด จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดได้ 10 คุณประโยชน์จากใบแปะก๊วย 1. สารสำคัญ 2 ชนิดที่อยู่ในใบแปะก๊วย (Gingko) ถือเป็นสารอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นั่นก็คือ ฟวาโวนไกลโคไซค์ (Flavone Glycoside) และ เทอร์ปีน แลคโตน (Terpene lactone) ซึ่งสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย 2. ใบแปะก๊วย (Gingko) สามารถช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกายและสมอง ทำให้ออกซิเจนสามารถไปเลี้ยงสมอง หัวใจ และอวัยวะต่าง ๆ ตามร่างกายได้ดี ถ้าสมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างไม่เพียงพอไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม สมองจะเสื่อมสมรรถภาพและฝ่อไป 3. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยป้องกันโอกาสการเกิดโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้ไปเลี้ยงสมองได้ดี ซึ่งส่งผลดีต่อการช่วยปกป้องการสูญเสียความทรงจำ รวมทั้งบำรุงความจำ และช่วยอาการของโรคอัลไซเมอร์ได้ 4. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะ เสียงดังในหู หรือหูอื้อลงได้ เมื่อรับประทานสกัดจากใบแปะก๊วย ขนาด 240 มก.ต่อวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าสารสกัดจากแปะก๊วยมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการวิงเวียนศีรษะเท่าเทียมกับเบตาฮีสทีนซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาอาการวิงเวียนศีรษะอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน 5. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยทำให้มีสมาธิและช่วยเรื่องความจำได้ดีขึ้น ในช่วงวัยทำงานที่ต้องการบำรุง สมองสามารถรับประทานแปะก๊วย ในปริมาณ 120-240 มก.ต่อวัน จะช่วยพัฒนาความคิด ช่วยความจำและทำให้มีสมาธิมากขึ้นได้ 6. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยต้านโรคซึมเศร้าสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบทั่วไป มีการศึกษาพบว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีสภาวะอารมณ์ที่ดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดจากใบแปะก๊วยร่วมกับการรับประทานยาเพื่อรักษาอาการ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ 7. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ดี เพราะสารสกัดจากใบแปะก๊วยจะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น แก้ไขปัญหาเลือดไปไหลเวียนในบริเวณอวัยวะเพศไม่สะดวก โดยจากการศึกษาพบว่าการรับประทานสารสกัดจากแปะก๊วยเป็นประจำติดต่อกัน 6 เดือน ช่วยให้อาการดีขึ้นมากถึง 50% โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งการรับประทานแปะก๊วยจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังองคชาตมากขึ้น 8. ใบแปะก๊วย (Gingko) นอกจากจะช่วยเรื่องอาการซึมเศร้า และแก้ไขปัญหาสภาวะทางอารมณ์ได้แล้ว ยังมีส่วนช่วยเรื่องความกังวล ในต่างประเทศมีการศึกษาวิจัยในกลุ่มตัวอย่างจำนวนหนึ่งเป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งในรับประทานสารสักดจากใบแปะก๊วย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งในรับประทานยาหลอก ปรากฎว่าเมื่อถึงเวลาสรุปผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากแปะก๊วย (Gingko Extract) มีภาวะทางจิตใจที่ผ่อนคลาย อารมณ์คงที่ มากกว่ากลุ่มที่ให้ยาหลอก 9. ใบแปะก๊วย (Gingko) มีส่วนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และกระจางใสให้กับผิว มีการศึกษาโดยการนำเอาชาเขียว (Green Tea) และสารสกัดจากใบแปะก๊วย (Gingko Extract) มาทาผิวพบว่า ผิวที่เคยแห้งกร้านกลับมีความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้น และช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น 10. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยลดความเสี่ยงการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง และลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์และโรคหัวใจ ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นภาวะอันตรายที่อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ ประโยชน์ของGingko Biloba (สารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย)ที่ใช้ในทางการแพทย์ ●ช่วยอาการและชะลอความเสื่อมของสมองได้ช่วยฟื้นฟูความทรงจำในผู้ป่วยสมองเสื่อม ช่วยความจำ ความคิด และการเรียนรู้ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ (cerebral insufficiency) ช่วยลดภาวะซึมเศร้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำระยะสั้นได้ เพราะจากการทดลองพบว่าสารสกัดแป๊ะก๊วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่สมองของหนูขาวได้ เนื่องจากฤทธิ์ในการยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด (antiplatelet aggregation) ●ช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดช่วยอาการปวดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดส่วนปลายแขน ขาอุดตันได้อย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษาพบว่าสารพวก flavonoid ในสารสกัดแป๊ะก๊วยมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เนื่องจากไปกระตุ้นการสร้าง prostacyclin และกระตุ้นการหลั่ง nitric oxide ซึ่งมีผลทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อหลอดเลือด ●สภาวะการหายใจการวิจัยในปี 1996 พบว่าใบแป๊ะก๊วยมีประสิทธิภาพในการป้องกันผู้ที่มีอาการ AMS (Asthma & Acute Mountain Sickness : ภาวะการผิดปกติของหายใจขณะขึ้นที่สูง) ซึ่งจะเกิดอาการขึ้นเพียง 13.6% ในผู้ที่ได้รับใบแปะก๊วย และ 81.8% ในกลุ่มผู้ที่กินยาหลอก ต่อมาในปี 2001 ได้มีการทดลองในผู้ป่วย 40 คน พบว่าใบแป๊ะก๊วยช่วยลดความรุนแรงของโรค AMS ได้ถึง 33% เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้รับประทานยาหลอกซึ่งมีความรุนแรงของโรคถึง 68% ●สภาวะหูอื้อการทดลองปี 1986 พบว่าผู้ป่วยหูอื้อที่ได้รับสารสกัดแป๊ะก๊วยมีพัฒนาการดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ให้ยาหลอก และการทดลองผลต่อการทรงตัว และการได้ยิน พบว่าสารสกัดแป๊ะก๊วยสามารถเพิ่มการเกิด action potential ของเส้นประสาท cochlea หลังการถูกทำลายในหนูตะเภาได้ และสามารถทำให้การทรงตัวดีขึ้น หลังการฉีดสารสกัดแป๊ะก๊วยแก่หนูขาวที่ vestibular nucleus ด้านหนึ่งถูกทำลายไป ●สารที่สกัดได้จากใบแป๊ะก๊วยมีหลายชนิดที่มีฤทธิ์อนุมูลอิสระ (Free radical)ในบริเวณตา ป้องกันการ เกิดโรคเบาหวานขึ้นตาได้ สารสกัดจากใบแป๊ะก๊วยเหมาะกับ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ได้แก่ ผู้บริหาร ผู้ที่ใช้สมอง ความคิด ความจำในการทำงาน ซึ่งส่งผลให้สมองเครียดและสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมาทำลายเซลล์สมอง และผู้สูงอายุ ข้อควรระวัง ✿ ระวังการรับประทานร่วมกับยาในกลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากสารสกัดใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ต้านการเกาะกันของเกล็ดเลือด อาจทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น วิธีรับประทาน รับประทานครั้งละ 1 ซอฟท์เจล วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร เลขที่จดแจ้ง / เลข อย.13-2-00763-2-0081

1 .Q Nature Lecithin 1200mg. 30 Softgels.

คิวเนเจอร์ เลซิติน 1000มก.

 

ลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มการทำงานของระบบสมอง ช่วยซ่อมแซมตับที่ถูกทำลายการการดื่มแอลกอฮอล์
 
เลซิทินมีสารที่สำคัญคือ ฟอสฟาทิดิล โคลีน (phosphatidyl choline) ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ เพิ่มการทำงานของระบบสมอง ช่วยซ่อมแซมตับที่ถูกทำลายการการดื่มแอลกอฮอล์ ที่ผ่านมาเราอาจจะรู้จักเลซิตินในนามของสารเสริมสร้างระบบประสาทและสมอง ช่วยเสริมสร้างความจำ ป้องกันสมองเสื่อม แต่ใครจะรู้ว่ามีอีกฤทธิ์ที่ให้ประโยนช์ต่อร่างกายไม่แพ้กัน คือช่วยป้องกันเราจากโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุการตายของคนไทยลำดับต้นๆเลยทีเดียว
 
เลซิติน หาได้จากที่ไหนบ้าง?
เราสามารถพบเลซิทินได้จากแหล่งอาหารจำพวก ไข่แดง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เมล็ดทานตะวัน ตับ แต่น่าเสียดายที่เมื่ออาหารเหล่านี้ผ่านความร้อน ผ่านการนำไปปรุงอาหาร สารเลซิทินจะลดระดับลง 
 
เลซิตินช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างไร??
หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดคือการมีระดับไขมันในเลือดสูง ซึ่งเลซิตินช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ก็เท่ากับว่าลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้นั่นเอง โดยเลซิตินจะไปลดการดูดซึมของไขมันในทางเดินอาหาร  ลดการดูดกลับของน้ำดี ทำให้ร่างกายต้องใช้ไขมันในการสร้างน้ำดีมากขึ้น เพิ่มการนำไขมันมาใช้ ระดับไขมันในเลือดก็จะลดต่ำลงค่ะ 
 
ขนาดที่แนะนำในเพื่อให้ได้ฤทธิ์ลดไขมันในหลอดเลือดคือการใช้เลซิทิน 1200 mg ก่อนอาหารในแต่ละมื้อ
 
วิธีรับประทาน 
รับประทานครั้งละ 1 ซอฟท์เจล วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร
 
อ.ย 13-2-00763-2-0070
 
 

2 .Qnature Brewer yeast 30s.

คิวเนเจอร์ บริวเวอร์ ยีสต์ 30 เม็ด

 

 
Brewer yeast บริวเวอร์ ยีสต์ เป็นยีสต์ที่เกิดจากการหมักเบียร์ โดยใช้ยีสต์ที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Saccharomyces cerevisiae นำมาผ่านความร้อน จนไม่มีฤทธิ์ แต่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารหลายชนิด เป็นแหล่งของวิตามินบีรวม และมีกรดอะมิโนแอซิดที่จำเป็นต่อร่างกายเกือบทุกชนิดในปริมาณที่สมดุลย์  นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วย  chromium ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของอินซูลินในการลดระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย นำมาใช้ในผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย ช่วยดูแลสมอง และ ระบบประสาท ใช้ในผู้ที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวน ท้องผูก ท้องเสีย และยังเสริมภูมิต้านทานได้อีกด้วย
 
บริเวอร์ยีสต์ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Saccharomyces Cerevisias
✿    อุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมาย
✿    กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 16 ชนิด    
✿    เกลือแร่ 14 ชนิด และวิตามิน 17 ชนิด
✿    เป็นแหล่งธรรมชาติที่ดีของ Vitamin B Complex  
✿    มีเกลือแร่สูง คือ โครเมียม สังกะสี เหล็ก ฟอสฟอรัส และเซเลเนียม
✿    เป็นแหล่งที่สำคัญของโปรตีน มีโปรตีนถึง 16 กรัมต่อปริมาณผงยีสต์ 30 กรัม
บรีเวอร์ยีสต์ ช่วยผิวสวย
งานวิจัยหลายเรื่องศึกษาประโยชน์ของบริเวอร์บยีสต์ต่อสุขภาพผิว โดยหนึ่งในนั้นคืองานวิจัยจากสมาคมเวชศาสตร์ชะลอวัย ประเทศญี่ปุ่น (The Japanese Society of Anti-Aging Medicine) ที่ศึกษาผลของบรีเวอร์ยีสต์ต่อสุขภาพผิวให้ อาสาสมัครหญิง 32 คน นักวิจัยพบว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับบรีเวอร์ยีสต์เสริมวันละ 7,125 มิลลิกรัม นาน 8 สัปดาห์ มีสุขภาพผิวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับบรีเวอร์ยีสต์เสริม โดยพบว่า บรีเวอร์ยีสต์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่นให้กับผิว ลดอาการผื่นคัน เพิ่มความกระจ่างใส และช่วยให้รูขุมขนเล็กลง
 
ความน่าสนใจของ สารสกัดบรีเวอร์ยีสต์ 
นอกจากนี้ ในยีสต์ยังมีธาตุเหล็ก แคลเซียม และโพแทสเซียม ปัจจุบันมีการใช้ยีสต์ผลิตราโรทีนอยส์และบีตา-คาโรทีนอยด์ ที่เป็นวัตถุสำคัญเนื่องจากมนุษย์ และสัตว์ไม่สามารถสร้างได้เองต้องรับมาจากภายนอก มีประโยชน์ในการต่อต้านมะเร็งหลายชนิดและโรคอื่น ๆถึง 10 ชนิด เช่น มะเร็งเต้านม ปอด ลำไส้ใหญ่ ซึ่งแน่นอน เราคงไม่สามารถหายีสต์มาทานได้เอง แต่เราสามารถหาได้จากแบรนด์อาหารเสริม ในทั่วตลาดได้
 
โดยเมื่อเปรียบเทียบยีสต์กับข้าวสาลีซึ่งเป็นอาหารที่ให้วิตามินบีสูง พบว่ายีสต์มีวิตามินบี 1 มากกว่าถึง 10 เท่า วิตามินบี 2 มากกว่า 8 เท่าและมีวิตามินบี 3 มากกว่า 10 เท่า โดยทุกส่วนของร่างกายมนุษย์ เช่น โลหิต ข้อต่าง ๆ ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ประสาท ล้วนแต่ต้องการวิตามินบีทั้งสิ้น หากเปรียบเทียบยีสต์กับเนยถั่วพบว่ายีสต์ 1 ช้อนโต๊ะ มีไขมันเพียง 1 ใน 8 ของไขมันในเนยถั่ว ดังนั้น ถ้าจะรับประทานเป็นอาหารเสริมสุขภาพ ขอแนะนำให้รับประทานยีสต์ผง ที่สามารถนำมาโรยบนอาหารอะไรก็ได้หรือจะคลุกกับเนื้อทอดก็อร่อยเช่นกัน
 
 Brewer yeast ดีอย่างไร
✿  ช่วยอาการอ่อนเพลีย ช่วยดูแลสมอง และ ระบบประสาท เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามินบี (Vitamin B Complex) เช่น วิตามินบี 1(Thiamine) วิตามินบี 2(Riboflavin) วิตามินบี 3(Niacin) วิตามินบี 5 (pantothenic Acid) วิตามินบี 6 (Pyridoxine) วิตามินบี 7 (Biotin) วิตามินบี 9 (Folic Acid)
 
✿  ภาวะลำไส้แปรปรวน ท้องร่วง ท้องผูก ในการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า Brewer Yeast ต้านการติดเชื้อ clostridium difficile ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง อีกทั้งใน Brewer Yeast มีไฟเบอร์ในส่วนประกอบ ช่วยในเรื่องท้องผูกได้
 
✿  เสริมภูมิต้านทาน ใน Brewer Yeast มีเบต้ากลูแคน ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว
 
✿  ลดระดับน้ำตาลในเลือด ใน Brewer Yeast มี chromium เป็นส่วนประกอบช่วยในการทำงานของอินซูลินในการลดระดับน้ำตาลในเลือด
 
ขนาดการรับประทาน
✿  ภูมิแพ้ ติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนบน  : รับประทานวันละ 500 มก.
✿  ภาวะลำไส้แปรปรวน : รับประทานวันละ 500-1000 มก. เป็นเวลา 8-12 สัปดาห์
✿  ป้องกันท้องเสียจากการเดินทาง : รับประทานครั้งละ 500 มก. วันละ 4 ครั้ง
 
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
✿  ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรค Crohn disease  เนื่องจากอาจทำให้อาการแย่ลง
✿  ระวังการใช้ในผู้ที่มีระบบภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยติดเชื้อ HIVs หรือ ผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากอาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อราในกระแสเลือดได้
✿  ห้ามใช้ร่วมกับยาต้านการซึมเศร้ากลุ่ม MAOIs เนื่องจากใน Brewer yeast มี tylamine เป็นส่วนประกอบ การใช้ร่วมกับยากลุ่ม MAOIs ส่งผลให้ระดับ tylamine ในเลือดสูงมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ความดันโลหิตสูงจนอาจเกิดอันตรายได้
 
วิธีรับประทาน 
รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร
 
เลขที่จดแจ้ง / เลข อย.  13-2-00763-2-0076

 

3 .Qnature Gingko Biloba 60mg. 30 Softgels

คิวเนเจอร์ จิงโกะ ไบโลบา 60มก.

 

 

 แปะก๊วยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Ginkgo biloba L. มีสารสำคัญกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ (Terpinoidal compounds) ได้แก่ ไบโลบาไลด์(Bilobalide) และใบแปะก๊วยยังมีสารสำคัญกลุ่มฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ชนิดที่พบบ่อยคือ quercetin และ kaempferol ทำให้แปะก๊วยมีสรรพคุณที่เด่นชัดในด้านการอนุมูลอิสระ ช่วยการไหลเวียนของเลือด อีกทั้งยังมีส่วนช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และความจำได้อีกด้วย
 
  มีฤทธิ์อนุมูลอิสระ ในแปะก๊วยมีสารลดอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายจากการถูกทำลาย ทำให้เซลล์มีความแข็งแรง และช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งได้ ช่วยลดไขมัน LDL และช่วยป้องกันจอตา (retina) ได้อีกด้วย
 
  มีฤทธิ์เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และความจำ ใบแปะก๊วยอุดมไปด้วยสารสำคัญที่จำเป็นต่อการบำรุงระบบประสาทและสมอง จึงช่วยส่งเสริมในด้านการเรียนรู้ และการจดจำ อีกทั้งยังช่วยอาการสมองเเสื่อมได้อีกด้วย
 
  มีฤทธิ์เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ใบแปะก๊วยทำให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้มีเลือดไหลไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกายได้มากขึ้น สามารถใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน
 
  ช่วยเพิ่มการมองเห็น สารสำคัญในใบแปะก๊วยทำให้การมองเห็นระยะยาวและลานสายตาของผู้ป่วยสูงที่จอประสาทตาเสื่อมดีขึ้น และยังสามารถชะลอความเสื่อมของจอตาได้ในผู้ป่วยเบาหวาน
 
  ช่วยอาการหลอดเลือดส่วนปลายหดตัว เนื่องจากใบแปะก๊วยมีสรรพคุณกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จึงทำให้เลือดไหลไปยังปลายมือปลายเท้าได้ดีมากขึ้น
 

สารออกฤทธิ์ในสารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย มีสารสำคัญ 2กลุ่ม

1. สารกลุ่มเทอร์ปีนอยด์ ประกอบด้วยสาร sesquiterpene ได้แก่ ไบโลบาไลด์ (bilobalide) และ ไดเทอร์ปีนคีโตน5 ชนิดรวมเรียกว่า “กิงโกไลด์” (ginkgolides) ได้แก่ ginkgolides A, B, C, J และ M

2. สารกลุ่มฟลาโวนอยด์ ในแป๊ะก๊วยมี flavonoid มากกว่า 30 ชนิด โดยเฉพาะ flavonoid glycoside โดยมีส่วน aglycone เป็นฟลาโวนอยด์หลัก 2 ชนิดคือ quercetin และ kaemferol เช่น quercetin-3-rhamnoside, kaemferol-3-rhamnoside, quercetin-3-rutinoside ฯลฯ เป็นต้น นอกจากนี้ในใบยังมีสารจำพวก biflavonoids หลายชนิด เช่น amentoflavone, bilobetin, ginkgetin, iso-ginkgetin เป็นสารที่พบเฉพาะในใบแป๊ะก๊วย  ซึ่งมีคุณสมบัติต่างๆ ดังนี้

· เป็นสารอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์สมองจากการทำลายของอนุมูลอิสระ

· ช่วยการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น

· เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดเส้นเล็กๆ ส่งผลให้การนำพาออกซิเจนและอาหารไปเลี้ยงสมอง และส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น

· ต่อต้านการจับตัวของเกร็ดเลือด จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดได้

 


10 คุณประโยชน์จากใบแปะก๊วย

1. สารสำคัญ 2 ชนิดที่อยู่ในใบแปะก๊วย (Gingko) ถือเป็นสารอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นั่นก็คือ ฟวาโวนไกลโคไซค์ (Flavone Glycoside) และ เทอร์ปีน แลคโตน (Terpene lactone) ซึ่งสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย

2. ใบแปะก๊วย (Gingko) สามารถช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกายและสมอง ทำให้ออกซิเจนสามารถไปเลี้ยงสมอง หัวใจ และอวัยวะต่าง ๆ ตามร่างกายได้ดี ถ้าสมองขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างไม่เพียงพอไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม สมองจะเสื่อมสมรรถภาพและฝ่อไป

3. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยป้องกันโอกาสการเกิดโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากปกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้ไปเลี้ยงสมองได้ดี ซึ่งส่งผลดีต่อการช่วยปกป้องการสูญเสียความทรงจำ รวมทั้งบำรุงความจำ และช่วยอาการของโรคอัลไซเมอร์ได้

4. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะ เสียงดังในหู หรือหูอื้อลงได้ เมื่อรับประทานสกัดจากใบแปะก๊วย ขนาด 240 มก.ต่อวันเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าสารสกัดจากแปะก๊วยมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการวิงเวียนศีรษะเท่าเทียมกับเบตาฮีสทีนซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาอาการวิงเวียนศีรษะอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

5. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยทำให้มีสมาธิและช่วยเรื่องความจำได้ดีขึ้น ในช่วงวัยทำงานที่ต้องการบำรุง สมองสามารถรับประทานแปะก๊วย ในปริมาณ 120-240 มก.ต่อวัน จะช่วยพัฒนาความคิด ช่วยความจำและทำให้มีสมาธิมากขึ้นได้

6. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยต้านโรคซึมเศร้าสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบทั่วไป มีการศึกษาพบว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีสภาวะอารมณ์ที่ดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดจากใบแปะก๊วยร่วมกับการรับประทานยาเพื่อรักษาอาการ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ

7. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ดี เพราะสารสกัดจากใบแปะก๊วยจะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น แก้ไขปัญหาเลือดไปไหลเวียนในบริเวณอวัยวะเพศไม่สะดวก โดยจากการศึกษาพบว่าการรับประทานสารสกัดจากแปะก๊วยเป็นประจำติดต่อกัน 6 เดือน ช่วยให้อาการดีขึ้นมากถึง 50% โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งการรับประทานแปะก๊วยจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังองคชาตมากขึ้น

8. ใบแปะก๊วย (Gingko) นอกจากจะช่วยเรื่องอาการซึมเศร้า และแก้ไขปัญหาสภาวะทางอารมณ์ได้แล้ว ยังมีส่วนช่วยเรื่องความกังวล ในต่างประเทศมีการศึกษาวิจัยในกลุ่มตัวอย่างจำนวนหนึ่งเป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งในรับประทานสารสักดจากใบแปะก๊วย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งในรับประทานยาหลอก ปรากฎว่าเมื่อถึงเวลาสรุปผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ได้รับสารสกัดจากแปะก๊วย (Gingko Extract) มีภาวะทางจิตใจที่ผ่อนคลาย อารมณ์คงที่ มากกว่ากลุ่มที่ให้ยาหลอก

9. ใบแปะก๊วย (Gingko) มีส่วนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และกระจางใสให้กับผิว มีการศึกษาโดยการนำเอาชาเขียว (Green Tea) และสารสกัดจากใบแปะก๊วย (Gingko Extract) มาทาผิวพบว่า ผิวที่เคยแห้งกร้านกลับมีความชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้น และช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้น

10. ใบแปะก๊วย (Gingko) ช่วยลดความเสี่ยงการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง และลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์และโรคหัวใจ ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นภาวะอันตรายที่อาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจ
 

ประโยชน์ของ Gingko Biloba (สารสกัดจากใบแป๊ะก๊วย)ที่ใช้ในทางการแพทย์ 

 

 ช่วยอาการและชะลอความเสื่อมของสมองได้ ช่วยฟื้นฟูความทรงจำในผู้ป่วยสมองเสื่อม ช่วยความจำ ความคิด และการเรียนรู้ในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ (cerebral insufficiency) ช่วยลดภาวะซึมเศร้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำระยะสั้นได้ เพราะจากการทดลองพบว่าสารสกัดแป๊ะก๊วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่สมองของหนูขาวได้ เนื่องจากฤทธิ์ในการยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด (antiplatelet aggregation)

 ช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ช่วยอาการปวดในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดส่วนปลายแขน ขาอุดตันได้อย่างมีนัยสำคัญ จากการศึกษาพบว่าสารพวก flavonoid ในสารสกัดแป๊ะก๊วยมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เนื่องจากไปกระตุ้นการสร้าง prostacyclin และกระตุ้นการหลั่ง nitric oxide ซึ่งมีผลทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อหลอดเลือด

 สภาวะการหายใจ การวิจัยในปี 1996 พบว่าใบแป๊ะก๊วยมีประสิทธิภาพในการป้องกันผู้ที่มีอาการ AMS (Asthma & Acute Mountain Sickness : ภาวะการผิดปกติของหายใจขณะขึ้นที่สูง) ซึ่งจะเกิดอาการขึ้นเพียง 13.6% ในผู้ที่ได้รับใบแปะก๊วย และ 81.8% ในกลุ่มผู้ที่กินยาหลอก ต่อมาในปี 2001 ได้มีการทดลองในผู้ป่วย 40 คน พบว่าใบแป๊ะก๊วยช่วยลดความรุนแรงของโรค AMS ได้ถึง 33% เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้รับประทานยาหลอกซึ่งมีความรุนแรงของโรคถึง 68%

 สภาวะหูอื้อ การทดลองปี 1986 พบว่าผู้ป่วยหูอื้อที่ได้รับสารสกัดแป๊ะก๊วยมีพัฒนาการดีขึ้น เมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ให้ยาหลอก และการทดลองผลต่อการทรงตัว และการได้ยิน พบว่าสารสกัดแป๊ะก๊วยสามารถเพิ่มการเกิด action potential ของเส้นประสาท cochlea หลังการถูกทำลายในหนูตะเภาได้ และสามารถทำให้การทรงตัวดีขึ้น หลังการฉีดสารสกัดแป๊ะก๊วยแก่หนูขาวที่ vestibular nucleus ด้านหนึ่งถูกทำลายไป

 สารที่สกัดได้จากใบแป๊ะก๊วยมีหลายชนิดที่มีฤทธิ์อนุมูลอิสระ (Free radical) ในบริเวณตา ป้องกันการ เกิดโรคเบาหวานขึ้นตาได้ สารสกัดจากใบแป๊ะก๊วยเหมาะกับ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ได้แก่ ผู้บริหาร ผู้ที่ใช้สมอง ความคิด ความจำในการทำงาน ซึ่งส่งผลให้สมองเครียดและสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมาทำลายเซลล์สมอง และผู้สูงอายุ


enlightenedข้อควรระวัง
  ระวังการรับประทานร่วมกับยาในกลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากสารสกัดใบแปะก๊วยมีฤทธิ์ต้านการเกาะกันของเกล็ดเลือด อาจทำให้เลือดออกได้ง่ายขึ้น
 
 
enlightenedวิธีรับประทาน 
รับประทานครั้งละ 1 ซอฟท์เจล วันละ 1 ครั้ง พร้อมอาหาร
 
เลขที่จดแจ้ง / เลข อย. 13-2-00763-2-0081
 

 

คำเตือน เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน
ควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ
ไม่มีผลในการป้องกัน หรือรักษาโรค

สืบเนื่องจาก พรบ.โฆษณาอาหาร ทำให้ไม่สามารถใส่สรรพคุณสินค้าได้โดยตรง
ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ LINE ID : @365Wecare
หรือโทรศัพท์สอบถามโดยตรงได้ที่เบอร์ 082-619-2414 ค่ะ



Copyright © 2011-2023 www.365wecare.com | Site Map