Vitech Biota 5 30s.(Synbiotic)
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอาหาร ไบโอต้า ไฟว์
ลำไส้ เป็นอวัยวะที่มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพมาก แต่มักถูกละเลย ลำไส้เป็นทั้งสมองที่สองของร่างกาย เนื่องจากมันมีระบบสั่งการการทำงานได้ด้วยตัวเองโดยไม่ผ่านสมอง และ เป็นหน่วยสร้างภูมิต้านทาน โดยพบว่า 70% ของเซลล์ภูมิต้านทานอยู่ที่ลำไส้ งานวิจัยเมื่อไม่นานนี้ ระบุว่า การมีปัญหากระเพาะและลำไส้ทำให้มีโอกาสที่จะเป็นโรคต่างๆ ง่ายขึ้นด้วย เช่น ไข้หวัด การที่ร่างกายมีสมดุลย์จุลินทรีย์ที่ดี จะทำให้ลำไส้แข็งแรง และเมื่อลำไส้แข็งแรงก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรงไปด้วย ดังคำกล่าวที่ว่า “สุขภาพดี เริ่มต้นที่ลำไส้”
ในร่างกายของเรามีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กระจายตัวอยู่ตามอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ผม ผิว ช่องปาก ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ไปจนถึงช่องคลอด หรือ แบคทีเรียตัวดี เราจะรู้จักกันในนาม “โปรไบโอติกส์ (Probiotics)” แต่จริงๆแล้วสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆในร่างกายของเราไม่ได้มีแค่แบคทีเรีย มันยังมีเชื้อไวรัส เชื้อรา และโปรโตซัว อีกด้วย ดังนั้นถ้าจะเรียกให้ถูกควรใช้คำว่า ไมโครไบโอต้า(Microbiota) โดยถ้านำจำนวนของไมโครไบโอต้าทั้งหมดในร่างกายมาชั่งรวมกัน พบว่ามีน้ำหนักเกือบ 2 กิโลกรัม หรือ เกือบเท่ากับขนาดสมองของมนุษย์เลยทีเดียว
จุลินทรีย์ที่ดีจะช่วยควบคุมสมดุลย์ในร่างกายให้มีสุขภาพดีและปราศจากโรค โดยมีหน้าที่หลัก คือ คอยยึดเกาะตามผนังเซลล์ของอวัยวะต่างๆที่มันอาศัยอยู่ เพื่อไม่ให้เชื้อก่อโรคมารุกราน ช่วยย่อยใยอาหารให้กลายเป็นกรดไขมันสายสั้น ที่เป็นอาหารของผนังลำไส้ ทำให้ลำไส้แข็งแรงไม่ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ ไปจนถึงการกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกาย เป็นต้น
Biota 5 ประกอบไปด้วยโปรไบโอติค 5 สายพันธุ์ รวม 8000 ล้านตัว โดยได้คัดเลือกสายพันธุ์ที่ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ดี ทั้งสภาวะที่เป็นกรด ด่าง หรืออุณหภูมิสูงๆ พร้อมเสริมด้วยอาหารของเชื้อ พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) จากธรรมชาติ เช่น กล้วย แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่าย บล็อคโคลี ธัญพืชต่างๆ เป็นต้นซึ่ งผลิตภัณฑ์โปรไบโอติคที่ดีควรจะมีทั้งเชื้อและอาหารเลี้ยงเชื้อร่วมกัน หรือเรียกว่า “ซินไบโอติค Synbiotics” พร้อมกับเลือกใช้นวัตกรรมแคปซูลชนิด DRcaps ซื้อสามารถป้องกันโปรไบโอติคถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอีกชั้นหนึ่ง และยังสามารถนำส่งโปรไบโอติคเข้าสู่ลำไส้ได้เต็มที่

Biota 5 Probiotics ประกอบด้วย 5 สายพันธุ์
1.Bacillus coagulans
ปรับลำไส้
โปรไบโอติกส์สายพันธุ์นี้ มีจุดเด่น คือสามารถสร้าง endospore เหมือนเกราะคอยปกป้องตัวเอง ทำให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ เช่น มีอัตราการรอดชีวิตสูงแม้เก็บที่อุณหภูมิห้องนานถึง 3 ปี, ทนอุณหภูมิสูงได้ถึง 105 องศาเซลเซียส ทำให้ไม่ถูกทำลายระหว่างกระบวนการผลิตและการขนส่ง, ทนต่อสภาวะกรดในกระเพาะอาหาร และสภาวะของเกลือน้ำดีได้ ทำให้มีปริมาณเชื้อที่เพียงพอที่จะไปถึงลำไส้ใหญ่และก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย ประโยชน์ของ B.Coagulans เช่น
✿ ท้องผูก โดยพบว่าทำให้อุจจาระมีลักษณะที่ดีขึ้น เพิ่มจำนวนครั้งในการขับถ่ายอุจจาระ โดยพบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองมีอัตราการตอบสนองถึง 70% เมื่อรับประทาน Bacillus coagulans ขนาด 300-750 M CFU/วัน เป็นระยะเวลา 2-10 วัน
✿ ลำไส้แปรปรวน จากการศึกษาพบว่า Bacillus coagulans สามารถลดอาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 12 สัปดาห์
✿ ท้องเสีย จากการศึกษาพบว่า Bacillus coagulans สามารถลดอาการท้องเสียฉับพลัน ท้องเสียจากการติดเชื้อโรต้าไวรัส และท้องเสียจากการรับประทานยาปฏิชีวนะ ได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อรับประทาน Bacillus coagulans ขนาด 100-600 M CFU/วัน เป็นระยะเวลา 2-12 วัน
✿ ฤทธิ์ต้านมะเร็ง มีการศึกษาพบว่า Bacillus coagulans สามารถลดการเจริญของเซลล์มะเร็งในมนุษย์ได้ โดยไปชักนำการเกิดการตายของเซลล์มะเร็งในลำไส้ใหญ่ (apoptosis)
✿ ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น ช่วยลดคอเลสเตอรอล, อาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด, ช่วยยับยั้งการติดเชื้อ E.coli, ช่วยลดอาการ lactose intolerance
2.Lactobacillus rhamnosus GG (LGG)
ภูมิแพ้ ผื่นผิวหนัง
โปรไบโอติกส์สายพันธุ์นี้ มีจุดเด่น คือ เจริญเติบโตได้เป็นกลุ่มๆ ทำให้สามารถยึดเกาะผนังลำไส้ได้ดี ไม่หลุดง่าย เป็นสายพันธุ์ที่เด่นในเรื่องของภูมิแพ้ต่างๆ โดยมีการศึกษาถึงความปลอดภัย พบว่าสามารถรับประทานได้ตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการเกิดแพ้ผิวหนังในเด็ก
✿ มีการศึกษาโดยการให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ที่มีประวัติการเป็นโรค Atopic Dermatitis หรือโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง รับประทาน LGG จำนวน 10,000 M CFU/วัน เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ พบว่าลดอุบัติการณ์การเกิดผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเมื่อเด็กอายุครบ 2 ปี, 4 ปี, 7 ปี ได้ 49%, 43% และ 36% ตามลำดับ
3.Lactobacillus acidophilus
แพ้น้ำตาลแลคโตส
โปรไบโอติกส์สายพันธุ์นี้ มีจุดเด่น คือ ตัวมันสามารถผลิตกรด lactic ได้ โดยการไปผลิตเอนไซม์ lactase ให้ไปย่อยน้ำตาล lactose จากน้ำตาลและนม จนได้เป็นกรด lactic ออกมา ทำให้สามารถใช้ในการช่วยลดอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส (Lactose intolerance) หรือที่เรียกว่า “แพ้นม” ได้
✿ มีการศึกษาในผู้ที่มีภาวะแพ้น้ำตาลแลคโตส โดยให้รับประทาน Lactobacillus acidophilus เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าสามารถช่วยลดอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส เช่น ปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อย่างมีนัยสำคัญ
✿ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาว่า Lactobacillus acidophilus สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ จากการศึกษาในเด็กที่มีอายุ 3-5 ปี จำนวน 326 คน เป็นระยะเวลา 6 เดือน พบว่า สามารถลดอุบัติการณ์การเป็นไข้ลงได้ 73%, อาการไอลดลง 62% และลดการใช้ยาปฏิชีวนะลงได้ 84%

4.Bifidobacterium longum (B. longum)
เป็นจุลินทรีย์ตัวดี มักอาศัยอยู่บริเวณทางเดินอาหาร และเป็นแบคทีเรียที่มักพบในน้ำนมแม่ เป็นสายพันธุ์ที่มีประโยชน์หลายด้าน เช่น
✿ ลำไส้ ช่วยเรื่องระบบลำไส้ ปรับpH ในทางเดินอาหารให้เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลทางเดินอาหารให้แข็งแรง, ต้านการอักเสบจากโรคโครห์น (โรคที่เกิดการอักเสบเรื้อรังของระบบทางเดินอาหารหรือลำไส้)และ โรคลำไส้อักเสบ, ลดอาการโคลิกในเด็กทารก เป็นต้น
✿ ภูมิแพ้ ป้องกันการติดเชื้อต่างๆในร่างกาย, ลดอาการภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้ต่างๆในร่างกาย
✿ นอกจากนี้ ยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน B ที่มีผลในการลดระดับ homocysteine ในเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต และมีงานวิจัยพบว่า B. longum สามารถลดภาวะซึมเศร้าและลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลได้ด้วย
5. Bifidobacterium lactis (B. lactis)
โปรไบโอติกส์สายพันธุ์นี้ มีจุดเด่น คือ เป็นสายพันธุ์ที่ทนต่อกรดและน้ำดีในทางเดินอาหาร ทำให้สามารถมีชีวิตรอดถึงลำไส้ มักพบได้ในเด็กสุขภาพดีที่ดื่มนมแม่ ช่วยย่อยอาหาร ต้านการติดเชื้อ และมีความสัมพันธ์กับ
✿ LGG และ B. lactis สามารถจับกับไวรัสหลายชนิด เช่น โรต้าไวรัส Rotavirus ที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
✿ นอกจากนี้มีการศึกษาที่พบว่า B. lactis สามารถป้องกันภาวะน้ำหนักเยอะหลังคลอดได้ โดยพบว่าเมื่อให้คุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสแรกรับประทาน LGG และ B. Lactis ไปจนถึงหลังคลอด 6 เดือน พบภาวะน้ำหนักลงพุงในกลุ่มที่รับประทานโปรไบโอติกส์ 25% ในขณะกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานโปรไบโอติกส์มีภาวะน้ำหนักเยอะลงพุงถึง 43%
ข้อแนะนำในการรับประทาน
1. ถึงแม้ว่า Probiotics ควรกินตอนท้องว่างจะดีกว่า แต่ Biota 5 ใช้เทคโนโลยีแคปซูล DRcaps ที่สามารถช่วยป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร เพื่อให้ไปแตกตัว ส่ง Probiotics เหล่านั้นให้ถึงลำไส้ซึ่งมีความเป็นด่างได้อย่างปลอดภัย จึงสามารถรัลประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
2. รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1-2 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหาร
อย.101826050111









คำเตือน เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน ควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นประจำ ไม่มีผลในการป้องกัน หรือรักษาโรค
|