Skip to content

ใช้ยาพร่ำเพรื่อ…เสี่ยงต่อเชื้อดื้อยา

คงเคยได้ยินคำว่า “เชื้อดื้อยา” ในที่นี้หมายถึงการที่ เชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ กล่าวคือเชื้อแบคทีเรียที่โดยปกติแล้วจะถูกฆ่าทำลายได้ง่าย ๆ จากยาปฏิชีวนะ กับกลายเป็นว่ายาไม่สามารถยับยั้งเชื้อโรคนั้นได้… สิ่งที่กังวลก็คือ เมื่อเชื้อที่ดื้อยาเข้าสู่ร่างกายเราและก่อโรคกับตัวเราจะทำให้ ไม่มียาตัวไหนสามารถช่วยรักษาหรือยับยั้งเชื้อนั้นได้ ทำได้แค่รักษาแบบประคับประคองอาการ  สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวเร่งให้ปัญหาเชื้อดื้อยามีมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง การใช้ยาที่บางครั้งไม่จำเป็น หรือกินๆหยุดๆ ลืมบ้าง กินไม่ครบโดส แบคทีเรียที่รอดชีวิตก็จะส่งต่อยีนดื้อยาไปทุกครั้งที่เกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน ปะปนไปกับสิ่งแวดล้อม ครั้งถัดไปเมื่อมีการติดเชื้อขึ้นอีก ยาเดิมที่เคยตอบสนองได้ดีก็ใช้การไม่ได้แล้ว ความรุนแรงของโรคก็เพิ่มมากขึ้น  ดังนั้นควรกินยาปฏิชีวนะเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเมื่อต้องใช้ยา

ยาปฏิชีวนะ ไม่เท่ากับ ยาแก้อักเสบ

ยาแก้อักเสบที่ ส่วนใหญ่ในรูปแคปซูล สีฟ้าเขียว สีดำแดง ที่ซื้อหาได้ง่าย ๆ ที่ร้านขายยา ไม่ได้เรียกว่ายาแก้อักเสบ แต่ตัวยาข้างในนั้นจัดอยู่ในกลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)หรือถ้าให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้นก็คือยาที่ใช้สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น

การอักเสบ (inflammation) คือการที่ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม หรือมีอะไรมากระทบกระเทือนให้ร่างกายเกิดการบาดเจ็บ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ภายในระดับเซลล์ และเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา แต่เมื่อเกิดการอักเสบที่รุนแรงมากขึ้น หรือถูกกระตุ้นซ้ำ ๆ อาการที่แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดของการอักเสบก็คือ ปวด บวม แดง ร้อน ตามที่ต่าง ๆ ของร่างกาย

สาเหตุของการอักเสบ… หนึ่งในนั้นเองก็คือเชื้อโรค ซึ่งเป็นได้ทั้งเชื้อไวรัส โปรโตซัวร์ เชื้อรา พยาธิ และเชื้อแบคทีเรียแต่นอกจากการติดเชื้อแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่ก่อให้เกิดการอักเสบ อย่างเช่น การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อจากอุบัติเหตุ สารเคมี รังสี ความร้อน ความเย็น มลภาวะ หรือแม้กระทั่งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองที่ทำงานผิดพลาดก็ก่อให้เกิดอาการอักเสบได้เช่นกัน  ทุกครั้งที่ร่างกายอักเสบไม่จำเป็นต้องเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จึงไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อทั้งในการรักษาและการป้องกัน เพียงแค่ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ หากไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไร เพียงแค่นี้ก็สามารถหายเองได้ภายใน 3-5 วันโดยที่ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะเลย