Skip to content

ชานมไข่มุกต้องเดินกี่นาทีถึงจะเบิร์นหมด

ชานมไข่มุก เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนชื่นชอบ และ“ไข่มุก” ที่อยู่ในชานมไข่มุก ที่กินกันอยู่บ่อยๆ ความเหนียวหนุบหนับนิดๆ ที่มาพร้อมกับรสชาติหวานอ่อนๆ ผสมกับเครื่องดื่มสูตรเข้มข้น อย่างเช่น น้ำชา และ โกโก้  ก็ทำเอาติดใจจนแทบจะหยุดกินกันไม่ได้ แต่ชานมไข่มุกก็อุดมไปด้วยน้ำตาลและไขมัน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ปริมาณแคลอรี่ในชานมไข่มุกนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดและยี่ห้อของชานมไข่มุก แต่โดยทั่วไปแล้วชานมไข่มุก 1 แก้วจะมีแคลอรี่ประมาณ 200-300 แคลอรี่

การเดินเป็นการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพในการเผาผลาญแคลอรี่ ปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลาญจากการเดินนั้นขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว ความเร็วในการเดิน และระยะเวลาในการเดิน โดยทั่วไปแล้วการเดินเร็วเป็นเวลา 30 นาทีสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 200 แคลอรี่

ดังนั้น หากต้องการเผาผลาญแคลอรี่ที่ได้จากชานมไข่มุก 1 แก้ว คุณจะต้องเดินเร็วเป็นเวลาประมาณ 30 นาที หากคุณไม่สามารถเดินเร็วได้ คุณยังสามารถเดินช้าๆ เป็นเวลานานขึ้นก็ได้ เช่น เดินเป็นเวลา 60 นาที หรือเดินเร็วเป็นเวลา 15 นาที 2 ครั้งต่อวัน

การดื่มชานมไข่มุกเป็นครั้งคราวนั้นไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่หากดื่มชานมไข่มุกบ่อยๆ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น น้ำหนักเพิ่มขึ้น ฟันผุ และโรคอ้วน ดังนั้น หากคุณรักชานมไข่มุก ก็ควรดื่มแต่พอดีและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมน้ำหนักและสุขภาพให้แข็งแรง

ไข่มุก กินได้ ปลอดภัย แต่อย่ากินเยอะ

แม้ว่าการกินไข่มุกไม่ได้อันตรายถึงขั้นห้ามกินเยอะ แต่ก็ไม่แนะนำให้กินเยอะ เพราะส่วนผสมของไข่มุกอย่างแป้งและน้ำตาล ทำให้น้ำหนักขึ้น มีไขมันส่วนเกินที่เผาผลาญพลังงานไปไม่หมดจนเกิดเป็นห่วงไขมันรอบเอว สะโพก ต้นขาได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังควรระมัดระวังในการดูดไข่มุกจากหลอดเข้าปาก เพราะจังหวะดูดเข้าปากแรงๆ ไข่มุกอาจพลัดหลุดเข้าคอโดยที่เราไม่ทันได้เคี้ยว หรือเราอาจจะกลืนโดยเคี้ยวไข่มุกไม่ละเอียด ซึ่งอาจอันตรายติดหลอดลมจนหายใจไม่ออกได้

กินไข่มุกอย่างไรให้ปลอดภัย?

  1. เลือกไข่มุกจากร้านที่ขายไข่มุกเม็ดขนาดเล็ก ดูดด้วยหลอดใหญ่แล้วไม่ติดหลอดจนต้องใช้แรงดูดมาก เพื่อลดอันตรายที่จะดูดเข้าไปติดในหลอดลม
  2. เคี้ยวไข่มุกให้ละเอียดก่อนกลืน
  3. ไม่กินไข่มุกมากเกินไป ควรกินไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน
  4. จำกัดอาหารที่มีแป้ง และน้ำตาลในวันเดียวกันกับที่กิน
  5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  6. หากมีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ไม่ควรกิน หรือกินให้น้อยที่สุด