Skip to content

วิ่งจ๊อกกิ้งถูกวิธี เป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอสไตล์นี้ช่วยลดน้ำหนักได้ดีเยี่ยม พ่วงด้วยประโยชน์ด้านสุขภาพที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง ! ที่ทำง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเกินความคาดหมาย ไม่ว่าคนที่อยากวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก หรือวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดี

การวิ่งจ๊อกกิ้งคืออะไร ?

          การวิ่งจ๊อกกิ้งคือการวิ่งเพื่อสุขภาพ เป็นการวิ่งเหยาะ ๆ ด้วยความเร็วระหว่างการเดินกับการวิ่งเร็ว และหากอยากได้ผลลัพธ์ที่ดี การวิ่งนั้นจะต้องเป็นธรรมชาติ ไม่เกร็ง และมีความสม่ำเสมอ

การวิ่งจ๊อกกิ้งเผาผลาญได้กี่แคลอรี ?

          การวิ่งจ๊อกกิ้งจะช่วยเบิร์นไขมันส่วนเกินได้ประมาณ 150 กิโลแคลอรีต่อการวิ่ง 1.6 กิโลเมตร ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเผาผลาญได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะคนที่วิ่งจ๊อกกิ้งอย่างสม่ำเสมอ

วิ่งจ๊อกกิ้งลดน้ำหนักได้ไหม ?

ใครอยากลดน้ำหนักด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้งก็ควรวิ่งจ๊อกกิ้งไม่ต่ำกว่า 10 นาทีต่อครั้ง และเป็นประจำด้วย เพราะจะยิ่งเบิร์นแคลอรีได้มากขึ้น และหากวิ่งจ๊อกกิ้งเป็นกิจวัตรประจำวัน ร่างกายเราจะเผาผลาญแคลอรีได้อย่างต่อเนื่องไปอีกราว ๆ 48 ชั่วโมงหลังการวิ่งครั้งสุดท้าย ยิ่งหากใครเสริมการออกกำลังกายลดน้ำหนักอย่างอื่น เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำควบคู่ไปด้วย การลดน้ำหนักก็จะบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้นด้วย

ประโยชน์ของการวิ่งจ๊อกกิ้ง

          1. เป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอชนิดหนึ่ง จึงช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือด ปอด และหัวใจทำงานได้ดีขึ้น

          2. ช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ ป้องกันโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และช่วยให้ไม่หน้ามืดเป็นลมง่าย

          3. หากวิ่งจ๊อกกิ้งถูกวิธี จะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ลดภาวะกระดูกพรุนได้ด้วย

          4. ลดน้ำหนักได้

          5. กระตุ้นสมองให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด และทำให้ร่างกายรู้สึกสบาย

          6. ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะหากวิ่งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น

          7. ช่วยฝึกความอดทนให้ร่างกาย ช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแกร่งขึ้น

          8. ช่วยลดความตึงเครียดได้ เพราะการจดจ่ออยู่กับการวิ่งจ๊อกกิ้งจะช่วยให้เราได้ปลดปล่อยความคิดไประหว่างทาง บวกกับความสดชื่นจากการออกกำลังกายก็จะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

ท่าวิ่งจ๊อกกิ้งที่ถูกวิธี มีหลักปฏิบัติด้วยกันดังนี้

          1. ควรอบอุ่นร่างกายโดยวิ่งเหยาะ ๆ ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าที่ใช้วิ่งจริง พร้อมกับยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยใช้เวลาอบอุ่นร่างกายประมาณ 4-5 นาที

          2. วิ่งจ๊อกกิ้งจริง ๆ ส้นเท้าควรจะสัมผัสพื้นก่อนทั้งฝ่าเท้าจะตามลงมา และเมื่อปลายเท้าหมุนลงมาแตะพื้น ส้นเท้าจึงจะเปิดขึ้น ปลายเท้าก็จะคล้ายตะกุยดิน ถีบตัวเหมือนสปริงดีดตัวขึ้นบนและเคลื่อนไปข้างหน้า โดยจุดที่เท้าสัมผัสพื้นควรจะตรงกับหัวเข่าซึ่งควรต้องงอเข่านิด ๆ  และเท้าควรจะสัมผัสพื้นหลังจากที่ได้เหยียดออกไปข้างหน้า ก็เพื่อสุขภาพเข่าและข้อเท้าที่ดีนั่นเอง    

          3. ควรวิ่งจ๊อกกิ้งโดยให้หลังตรงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ศีรษะตรง ตามองตรงไปข้างหน้า ส่วนต่าง ๆ จากศีรษะลงมาที่หัวไหล่และสะโพกจนถึงพื้นควรเป็นเส้นตรง ลำตัวไม่โน้มไปด้านหน้าหรือเอนไปด้านหลัง

          4. การเคลื่อนไหวของแขนจะเป็นจังหวะและการทรงตัวในการวิ่ง ดังนั้นขณะที่วิ่งจ๊อกกิ้งแขนก็ควรแกว่งไปมาเหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกาไปตามแนวหน้าหลัง และพยายามอย่าให้ข้อศอกงอเข้ามาแคบกว่า 90 องศาด้วย ส่วนหัวแม่โป้งวางบนนิ้วชี้สบาย ๆ กำนิ้วหลวม ๆ ข้อมือไม่เกร็ง บางครั้งอาจเหยียดแขนตรงลงมา หรือเขย่าแขนเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวบ้าง หลังจากยกแขนไว้นาน ๆ

          5. ควรหายใจเข้าทางจมูกและปล่อยลมหายใจออกพร้อมกันทั้งทางจมูกและปาก ทั้งนี้การหายใจควรเป็นไปตามสบายและพยายามหายใจด้วยท้อง โดยสูดหายใจเข้าไปในปอดจนท้องขยาย และบังคับปล่อยลมให้ออกมาด้วยการแขม่วท้อง เพราะการหายใจไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดการจุกเสียดขณะวิ่งได้

          6. อบอุ่นร่างกายหลังวิ่งอีกครั้ง เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและจังหวะหัวใจให้คงที่

ดังนั้นใครที่วิ่งจ๊อกกิ้งไม่ถูกวิธีอยู่ คงต้องปรับท่าวิ่งให้เป็นท่าวิ่งที่ถูกต้องโดยด่วน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อร่างกาย และสุขภาพเข่าที่ปลอดภัย

ควรวิ่งจ๊อกกิ้งนานแค่ไหนถึงจะได้ผลดี ?

          ความหนัก ความนาน และความถี่ของการวิ่งจ๊อกกิ้งควรวิ่งด้วยความเร็วที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับต้องหอบหายใจทางปาก และเมื่อวิ่งไปแล้ว 4-5 นาที ควรเริ่มได้เหงื่อ ยกเว้นการวิ่งในสภาพอากาศเย็นจัดซึ่งอาจเรียกเหงื่อได้ยาก

          ควรวิ่งอย่างน้อย 10 นาทีต่อเนื่อง โดยสามารถวิ่งด้วยความเร็วคงที่ หรือจะวิ่งจ๊อกกิ้งช้า ๆ สลับเร็วแล้วแต่สะดวก เพื่อสุขภาพควรต้องวิ่งอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ โดยจะวิ่งสลับการเดินยาว ๆ แบบไม่หยุดพักในช่วงแรกที่วิ่งจ๊อกกิ้งก็ได้ แต่ในวันต่อ ๆ ไปก็ควรเพิ่มความเข้มข้นในการวิ่งให้มากขึ้น โดยลดเวลาการเดินยาว ๆ ให้น้อยลง และวิ่งเหยาะติดต่อกันได้ไม่น้อยกว่า 10 นาที ลักษณะการวิ่งแบบนี้ถึงจะได้ประโยชน์ต่อร่างกาย

เคล็ดลับวิ่งจ๊อกกิ้งที่ควรทำ

          – เสื้อผ้าที่สวมใส่ขณะวิ่งควรทำจากผ้าฝ้าย ไม่รัดแน่นหรือหลวมจนเกินไป

          – รองเท้าใส่วิ่งควรเป็นรองเท้าผ้าใบหุ้มส้นที่พอดีกับขนาดและรูปเท้า รวมทั้งพื้นรองเท้าควรมีความหนาและนุ่มเพื่อรองรับการกระแทก