Skip to content
ครีมกันแดด

หน้าร้อนบางพื้นที่ในประเทศไทยมีการเตือนถึงค่าดัชนีความร้อนสูงถึง 49 – 50 องศาเซลเซียส และมีค่าดัชนีรังสียูวีอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ผิวหนังเกรียมแดด สามารถสร้างอนุมูลอิสระทำลาย DNA ได้ในระยะยาว รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) หรือเรียกกันง่ายๆ ว่ารังสียูวี (UV) เป็นรังสีที่มาพร้อมกับแสงแดด ในชีวิตประจำวัน แบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่

  1. รังสี UVA เป็นตัวทำลายคอลาเจนและความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยก่อนวัย ฝ้า กระ เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนังได้  ซึ่งรังสียูวีเอจะมีตลอดทั้งปีและทุกฤดูกาล แม้แต่วันที่ไม่มีแสงแดดก็ตาม
  2. รังสี UVB เป็นตัวการที่ทำให้ผิวหนังทำให้เกิดอาการแสบร้อน หมองคล้ำ และไหม้เกรียม เป็นสาเหตุของมะเร็วผิวหนังได้เช่นกัน
  3. รังสี UVC ปัจจุบันยังส่องลงมายังพื้นผิวโลกไม่มากเพราะมีชั้นโอโซนกรองไว้อยู่ แต่ถ้าหากในอนาคตอาจจะทะลุมายังพื้นโลกได้มากขึ้น

ดังนั้นการเลือกครีมกันแดดเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด ในการลดความเสี่ยงจากรังสี UV มีคำแนะนำจาก American Academy of Dermatology (AAD) ว่าคนทั่วไปควรต้องป้องกันผิวจากแสงแดด ด้วยการทาครีมกันแดดในทุกๆ วัน

การเลือกครีมกันแดดให้เหมาะสม โดยดูจากค่า SPF และ ค่า PA

SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor คือค่าประสิทธิภาพของครีมกันแดดในการป้องกันรังสี UVB ว่าสามารถปกป้องผิวของเราได้นานเท่าไหร่?

  • ครีมกันแดดที่มี SPF 15 จะสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ 93.33 %
  • ครีมกันแดดที่มี SPF 30 สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้มากขึ้นเป็น 96.67% หรือประมาณ 97%
  • ครีมกันแดด SPF 50 ที่เป็นที่นิยมนั้นสามารถปกป้องผิวจากรังสี UVB ได้ถึง 98%

ปกติแล้วผิวหนังจะทนแดดได้เฉลี่ย 15 นาที นานกว่านี้ผิวจะแดงหรือไหม้ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยความแรงของแสงแดด

ปัจจุบันค่า SPF มากสุดจะอยู่ที่ 50 ยิ่งค่า SPF มาก ระยะเวลาของผิวหนังที่สามารถทนแสงแดดได้ก็จะมากขึ้น แต่อาจมีส่วนผสมของสารออกฤทธิ์ที่ทำให้แพ้ได้ง่าย การเลือกปริมาณที่พอดี แล้วหมั่นทาบ่อยๆ ซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ครีมเสื่อมสภาพตามการเวลา

PA ย่อมาจาก Protection Grade of UVA คือค่าประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ปัจจุบันค่า PA สูงสุดอยู่ที่ ++++ ยิ่งมีเครื่องหมายบวกมาก ก็จะแสดงถึงจำนวนในการปกป้องผิวที่สูงขึ้น

PA+ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ในระดับน้อย เหมาะสำหรับกลุ่มคนที่ทำกิจกรรมในอาคาร ตึก หรือบ้าน เช่น พนักงานออฟฟิศ

PA++ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ในระดับปานกลาง เหมาะกับผู้ที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง มีการโดนแสงแดดบ้าง แต่เป็นแสงแดดที่ไม่รุนแรงนัก

PA+++ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ถึง 8 เท่า เป็นค่า PA ที่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ เหมาะกับกลุ่มคนที่จำเป็นต้องออกไปในสถานที่มีแดดแรงจัด หรือต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดดทั้งวัน

PA++++ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้ในระดับที่สูงมาก เหมาะกับกลุ่มคนที่จำเป็นต้องออกไปในสถานที่ที่มีแดดแรงจัด

ครีมกันแดด จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

Chemical sunscreen

พบตามท้องตลาดทั่วไป จะดูดซับรังสี UV แล้วเปลี่ยนความร้อนให้สลายไปใต้ผิวหนังสามารถปกป้องผิวได้หลังจากทา 20-30 นาที จึงควรทาก่อนออกไปสัมผัสแสงแดดอย่างน้อย 20 นาที คนทั่วไปสามารถใช้ได้ แต่ไม่เหมาะกับ หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย

Mineral sunscreen หรือ Physical sunscreen

จะป้องกันและสะท้อนกลับรังสี UV บริเวณผิวหนัง สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้ทันทีหลังทาเหมาะกับ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ผิวเด็ก

click ที่นี่