365WECARE

โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) คืออะไร? สาเหตุ อาการ และความเสี่ยงที่ควรรู้ 

โรคไตเรื้อรัง คือ ภาวะที่ไตทำงานผิดปกติหรือลดลงต่อเนื่องเกิน 3 เดือน ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถกรองของเสียหรือควบคุมสมดุลเกลือแร่และน้ำได้ตามปกติ ระยะเริ่มแรกมักไม่แสดงอาการชัดเจน แต่เมื่อการทำงานของไตเสื่อมลงมากขึ้น จะเกิดของเสียคั่งในเลือด นำไปสู่อาการอ่อนเพลีย บวม ความดันสูง และเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง การตรวจสุขภาพและดูแลพฤติกรรมการกินจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคไตเรื้อรัง

 

 โรคไต ตัวร้ายที่ไม่ได้มากับความเค็มเพียงอย่างเดียว

 

ทำความรู้จักโรคไตเรื้อรังกันก่อน

 

   อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าไตมีหน้าที่กำจัดของเสีย ควบคุมความเป็นกรด-ด่างในกระแสเลือด ควบคุมความสมดุลของเกลือแร่ และควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายอีกด้วย ดังนั้น เมื่อไตทำงานผิดปกติ หรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จะทำให้เกิดภาวะเลือดจางและขาดวิตามินได้ โดยโรคร้ายนี้มีอยู่หลายชนิด และที่พบได้บ่อย ได้แก่ กรวยไตอักเสบ ไตอักเสบ นิ่วในไต ไตเรื้อรัง และไตวาย

 

   โรคไตเรื้อรัง คือ การที่ไตมีภาวะการทำงานผิดปกติ หรือมีการทำงานของไตที่ลดลง โดยดูจากค่าอัตราการกรองของไตที่ผิดปกติในระยะเวลามากกว่า 3 เดือนขึ้นไป ระยะเริ่มแรกมักจะไม่มีอาการ แต่เมื่อไตทำงานเสื่อมลงจนหน่วยไตเหลือน้อยกว่าร้อยะ 10 ก็จะมีของเสียคั่งในกระแสเลือดและมีอาการต่างๆตามมา

 

อาการของโรคไตเรื้อรัง

 

   ไตเป็นอวัยวะที่ไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาสมบูรณ์ได้ การเกิดความผิดปกติกับไตจึงเป็นเรื่องอันตราย โดยในช่วงแรกผู้ป่วยโรคไตแทบจะไม่มีสัญญาณของโรคร้ายนี้เลย แต่อาการจะปรากฏออกมาในระยะท้ายๆ ที่ไตได้รับความเสียหายไปมากแล้ว จนในระดับสูงสุดอาจเกิดอาการไตวาย และเสียชีวิตได้ อาการของผู้ป่วยโรคไตที่ปรากฏมีดังนี้

 

  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง

 

  • ปัสสาวะผิดปกติ เช่น มีกลิ่นผิดปกติ มีสีผิดปกติ เป็นต้น

 

  • ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน

 

  • มีอาการเบื่ออาหาร

 

  • ตัวบวมเนื่องจากมีน้ำและเกลือในร่างกายปริมาณมาก

 

  • ปวดหลัง ปวดบั้นเอว

 

ระยะของโรคไตเรื้อรัง

 

โรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะ ตามระดับความรุนแรง ดังนี้

 

  1.  ระยะที่ 1 : พบมีการทำลายไตเกิดขึ้น โดยพบความผิดปกติจากการตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ และ/หรือพยาธิสภาพของชิ้นเนื้อไต โดยที่อัตราการกรองของไตยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ กล่าวคือ มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.

 

  1.  ระยะที่ 2 : พบมีการทำลายไตร่วมกับเริ่มมีการลดลงของอัตราการกรองของไตเล็กน้อย คือ อยู่ในช่วง 60-89 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.

 

  1.  ระยะที่ 3 : มีการลดลงของอัตราการกรองของไตปานกลาง คือ อยู่ในช่วง 30-59 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.

 

  1.  ระยะที่ 4 : มีการลดลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง คือ อยู่ในช่วง 15-29 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.

 

  1.  ระยะที่ 5 : มีภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย อัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.

 

สาเหตุของโรคไตเรื้อรัง

 

   โรคนี้อาจมีความเข้าใจผิดๆว่า เลี่ยงทานเค็มเท่ากับเลี่ยงโรคไต ทั้งนี้ในความเป็นจริงแล้วยังมีสาเหตุต่างๆ อีกมากมาย โดยสาเหตุของการเกิดโรคนี้ ได้แก่

 

พันธุกรรม โดยอาจเป็นมาตั้งแต่กำเนิดหรือค่อยๆ แสดงอาการในภายหลังก็ได้

 

เกิดจากโรคอื่นที่มีผลกระทบกับไต เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น

 

การทานอาหารรสจัดไม่ใช่เพียงแค่รสเค็ม รวมไปถึงหวานจัด หรือเผ็ดจัดด้วยเช่นกัน

 

ดื่มน้ำน้อยเกินไป

 

ไม่ออกกำลังกาย

 

มีความเครียด

 

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง

 

  • โรคเบาหวาน

 

  • ความดันโลหิตสูง

 

  • ประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไตเรื้อรัง

 

  • ผู้สูงอายุ

 

  • น้ำหนักเกินหรืออ้วน

 

  • สูบบุหรี่

 

สัญญาณที่บ่งบอกว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง

 

สัญญาณที่สำคัญ 6 ประการ ซึ่งบ่งบอกว่าอาจเป็นโรคไตเรื้อรัง ได้แก่

 

▶ ความดันโลหิตสูง

 

▶ การตรวจพบเม็ดเลือดแดง และ/หรือโปรตีนในปัสสาวะ

 

▶ ระดับของเสียในเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันนิยมตรวจวัดสารบียูเอ็น (BUN; Blood urea nitrogen) และสารครีอะตินีน (Creatinine) ซึ่งเมื่ออัตราการกรองของไตลดลง จะทำให้ระดับสารทั้งสองในเลือดสูงขึ้นกว่าค่าปกติ

 

▶ อัตราการกรองของไตน้อยกว่า 60 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.

 

▶ ปัสสาวะผิดปกติ ได้แก่ ปัสสาวะบ่อยขึ้น ปัสสาวะตอนกลางคืน ปริมาณปัสสาวะลดลง ปัสสาวะลำบากหรือปวดเวลาปัสสาวะ

 

▶ มีอาการบวม อาจบวมบริเวณหนังตา ลำตัว หลังมือ หลังเท้าและขา

 

วิธีดูแลตัวเองง่ายๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต

 

   1 .ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายอย่างที่ทุกท่านทราบกันดี โดยทั่วไปควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว

ต่อวันขึ้นกับปริมาณน้ำที่สูญเสียไป

   2. รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ในการที่เราจะดูแลให้สุขภาพไตให้ดี การกินผักผลไม้สดเพื่อเสริมสร้างวิตามินและ

แร่ธาตุต่างๆเป็นตัวเลือกที่ดี ลดการรับประทานเนื้อแดงและอาหารที่มีไขมันสูง และที่สำคัญกินเกลือโซเดียมไม่เกิน

1 ซ้อนซาต่อวัน (นับรวมเกลือที่ละลายอยู่ในอาหารและน้ำจิ้มด้วย) และน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนซาต่อวันเพื่อลดสาเหตุ

ที่จะทำให้ไตทำงานหนัก

   3. ตรวจเช็คความดันโลหิตให้อยู่ในค่าปกติ ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อการเกิดโรคไต โดย

ส่วนมากจะไม่มีอาการจึงต้องอาศัยการตรวจวัดความตันโลหิต ซึ่งในปัจจุบันสามารถรวจวัดได้ง่ยโดยไม่ต้องเจ็บ

ตัว ค่าความดันโลหิตปกติโดยเฉลี่ยจะมีค่าประมาณ 120/80 มิลลิมตรปรอท หากพบว่าความดันโลหิตสูงควรรีบ

ปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลอย่างเหมาะสม

   4. หลีกเลี่ยงการกินยาแก้ปวดและแก้อักเสบเกินความจำเป็น ยาแก้ปวดลดอาการอักเสบหลายชนิดจัดอยู่ในกลุ่มที่

เรียกว่า NSAIDs เช่น ไดโคลฟีแนค, นาโปรเซน, ไอบูโพรเฟน เป็นยาที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดได้อย่างดี แต่หาก

กินต่อเนื่องในปริมาณมากหรือกินโดยไม่จำเป็นอาจจะส่งผลเสียต่อการทำงานของไต ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตได้ลดลง

นอกจากนี้ยังพบว่ามีการผสมยาเหล่านี้หลายขนานรวมกันในยาชุดซึ่งอาจทำให้ได้รับยาเกินขนาดโดยไม่รู้ตัว จึง

แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาชุดโดยที่ไม่ทราบส่วนประกอบชัดเจน

   5.การออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม อย่างที่ทุกท่านทราบกันอยู่ดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายเป็น

กิจกรรมสิ่งที่สำคัญต่อร่างกาย ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจและปอดมีประสิทธิภาพดีขึ้น การออกกำลังกาย

เป็นประจำยังช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน ลดความสี่ยงต่อโรคอ้วน ซึ่งนอกจากจะมีผลต่อโรคเบาหวานและ

ไขมันในเลือดสูงแล้ว ยังมีผลโดยตรงต่อความดันโลหิตและความดันภายในไตอีกด้วย ดังนั้นหากต้องการมีสุขภาพที่ดี

จึงควรที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

365wecare call365wecare Line365wecare Facebook365wecare Tiktok

ฝ่ายบริการลูกค้า

080-365-3696

ติดตามเราได้ที่

หน้าหลัก

shopping_cart
0

ตะกร้าสินค้า

แบรนด์

โปรโมชั่น