อาการของโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ⚡
อาการที่สำคัญของโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น คือ ปวดท้องบริเวณยอดอกหรือบริเวณใต้ลิ้นปี่ มักปวดเมื่อหิว หรือหลังรับประทานอาหารแล้วประมาณ 2-5 ชั่วโมง อาจตื่นกลางคืนเนื่องจากอาการปวดท้อง ซึ่งอาการปวดท้องนี้จะดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหาร หรือรับประทานยาเคลือบกระเพาะ หรือยาลดกรด
ส่วนอาการอื่นๆที่พบได้ คือ คลื่นไส้ อาจมีอาเจียนบางครั้ง เบื่ออาหาร ผอมลง อาเจียนเป็นเลือด หรือ มีอุจจาระเป็นสีดำเหมือนยางมะตอย มีอาการท้องเฟ้อ อิ่มง่าย จุกหน้าอก แน่นท้อง เรอบ่อย อาหารไม่ย่อย และไม่มีความอยากอาหาร
ผลแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียงของโรค 
ผลข้างเคียง (ผลแทรกซ้อน) จากโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น มักเป็นภาวะที่รุนแรง และอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ โดยผลข้างเคียงที่พบได้ คือ
- ▶ มีเลือดออกจากแผล ส่งผลให้อาเจียนเป็นเลือด หรือ ถ่ายอุจจาระสีดำเหมือนยางมะตอย
- ▶ แผลก่อให้เกิดการตีบตันของกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็ก จึงก่อให้เกิดภาวะกระเพาะอาหาร และ/หรือลำไส้เล็กอุดตัน เกิดการปวดท้องอย่างรุนแรงร่วมกับอาเจียน โดยเฉพาะภายหลังรับประทานอาหาร และดื่มน้ำ
- ▶ กระเพาะอาหาร และ/หรือลำไส้ทะลุ เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรงของช่องท้องได้
สาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น 
สาเหตุที่พบบ่อยของโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ เอช ไพโลไร (H. pylori หรือ Helicobacter pylori) พบได้ประมาณ 60% ของแผลในกระเพาะอาหารทั้งหมด และเป็นประมาณ 90% ของแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นทั้งหมด
รู้จัก เชื้อเอช ไพโลไร (H. pylori) กันก่อน 
“เอช ไพโลไร (H. pylori)” เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ติดต่อโดยการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในเยื่อบุกระเพาะ ทำให้เกิดการอักเสบที่เยื่อบุกระเพาะ เกิดแผล และมะเร็งกระเพาะอาหารได้
สาเหตุอื่นๆที่พบได้ คือ 
▶ รับประทานยาต้านการอักเสบ/ยาแก้อักเสบในกลุ่มยาแก้ปวดเอ็นเสดส์ (NSAIDs, Non-steroidal anti-inflammatory drugs) ที่ใช้รักษาโรคปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อต่างๆ และโรคเกาต์ เช่น ยาแอสไพริน ยาเซเลโคซิบ(Celecoxib) ยาไดโคลฟีแนค (Diclofenac) ยาอินโดเมธาซิน (Indomethacin) และยา ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
▶ ความเครียด
▶ การสูบบุหรี่
▶ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
▶ รับประทานอาหารรสเผ็ด
▶ รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
การรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการดูแลรักษาที่ดี และผู้ป่วยมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตนเอง แต่หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติท เช่น การตรวจโดยการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร (Gastroscope: EGD) เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างถูกวิธี
อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของตนเอง ดังนี้
- 1.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและโภชนาการ ได้แก่ รับประทานอาหารตรงเวลาทุกมื้อ รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
- 2.งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- 3.งดสูบบุหรี่ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
- 4.ไม่เครียดหรือวิตกกังวล และพักผ่อนให้เพียงพอ
- 5.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้ถูกต้องและสม่ำเสมอ
- 6.ไม่ซื้อยารับประทานเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ พยาบาล หรือเภสัชกร
ปวดท้องแบบไหนเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ⚡
1. มีอาการปวดท้องในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
2. เลือดออกทางเดินอาหาร (อาเจียนมีเลือดปน, ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดปน หรือถ่ายอุจาระมีสีดำ), น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
3. ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยการใช้ยาลดกรดแบบเม็ด เป็นระยะเวลา 4 - 8 สัปดาห์หลังการรักษา
4. มีอาการเป็นๆหายๆบ่อยครั้ง, มีประวัติมะเร็งกระเพาะอาหารหรือทางเดินอาหารของญาติสายตรงลำดับหนึ่ง (ได้แก่ พ่อ, แม่, พี่, น้อง)
ผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวเบื้องต้นควรได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้องกระเพาะอาหาร ซึ่งการส่องกล้องกระเพาะอาหารเป็นหัตถการที่ปลอดภัยและมีภาวะแทรกซ้อนน้อย ทำได้โดยการพ่นยาชาเฉพาะที่บริเวณในช่องคอ หรือยาฉีดทางหลอดเลือดดำเพื่อให้ผู้ป่วยหลับ และนำกล้องลักษณะคล้ายท่อขนาดเล็กประมาณ 1 เซนติเมตร ผ่านช่องคอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อให้เห็นการอักเสบ แผล หรือเนื้องอก ทั้งนี้ การส่องกล้องยังสามารถบันทึกภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว, สอดที่ตัดชิ้นเนื้อขนาดเล็กผ่านทางกล้อง เพื่อนำชิ้นเนื้อมาตรวจหาเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร ส่งตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิเพื่อหามะเร็ง เป็นต้น