ฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ
ปัญหาหน้าเป็นฝ้า กระ และกระลึกกลายเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่คอยกวนใจใครหลายคนกันอยู่ไม่น้อย เพราะสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ มีรอยปื้นๆ บนใบหน้า และมีจุดสีเข้มปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจน ทำให้หลายคนต้องสูญเสียความมั่นใจจากปัญหาผิวนี้ไปอย่างน่าเสียดาย และแม้ว่าจะหาวิธีรักษาฝ้าแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด
หลายคนที่กำลังประสบกับปัญหาผิวนี้ ต่างพยายามหาวิธีรักษาฝ้า กระ และตัวช่วยต่างๆ ที่จะช่วยให้ผิวหน้ากลับมาขาวใส ไร้ฝ้ากันอย่างสุดความสามารถ แต่ทว่าเพราะความเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับฝ้า กระ และการดูแลผิวแบบผิดวิธี นอกจากจะไม่ช่วยให้ปัญหาฝ้า กระดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมผิวให้เกิดฝ้า กระให้ฝังลึกมากยิ่งขึ้น
ลักษณะของฝ้า กระ จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ 
กระมีลักษณะ จุดเล็กๆสีน้ำตาลอ่อน อาจขึ้นได้ทั่วไป กระที่ขึ้นบนผิวชั้นบนหรือชั้นหนังกำพร้า คือ กระธรรมดาหรือกระแดด เมื่ออายุมากขึ้น กระมีลักษณะนูนและสีเข้มมากขึ้น เรียกว่ากระเนื้อ หรือเป็นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่ผิดรูปแบบไป ในอนาคตอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ จึงทำให้สีผิวบริเวณนั้นมีสีน้ำตาลหรือสีดำเป็นจุดเล็กๆ พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีผิวขาว ปรากฎตามใบหน้า ลำคอหรือส่วนต่างๆ ของร่างกายที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อยๆ อาจมีสีเข้มขึ้นและกระจายพื้นที่ใหญ่ขึ้นได้เมื่อถูกกระตุ้น โดยกระสามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ กระตื้น กระลึก กระเนื้อ
ฝ้าจะมีลักษณะ จะเป็นปื้นๆ สีน้ำตาลเข้มกว่าสีผิว มีอยู่ 2ชนิด คือ ฝ้าชนิดตื้น คือเม็ดลีจะมีความลึกอยู่เพียงชั้นหนังกำพร้าและ ฝ้าชนิดลึก จะมีความลึกของเม็ดสีอยู่ในระดับชั้นหนังแท้ ความเข้มจะค่อนข้างเข้มมากว่าด้วย
ฝ้ากระเกิดจากอะไร ? 
⁕ รังสีUVและความร้อน รังสีUVจากแสงแดด โดยเฉพาะช่วง10.00-14.00 น. มักเป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้ฝ้ากระเกิดขึ้นได้ เพราะจะไปกระตุ้นให้เมลานีนมีการสร้างเม็ดสีมากขึ้น และรวมไปถึงความร้อนจากการประกอบอาหารและแสงไฟด้วยที่เป็นตัวการให้เกิดฝ้า
⁕ รังสีหรือความร้อนจากจอคอมพิวเตอร์ รังสีจากหน้าจอคอม ส่งผลรบกวนต่อผิวหน้า ทำให้เกิดความร้อนสะสม รบกวนเมลานีนหรือเม็ดสีผิว ทำให้เกิดฝ้าที่เด่นชัดขึ้น
⁕ การตั้งครรภ์ ในช่วงตั้งครรภ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ซึ่งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้นโดยเฉพาะช่วงไตรมาส3ของการตั้งครรภ์ เมื่อคลอดบุตรแล้ว ฝ้าอาจจะค่อยๆจางลงใช้ระยะเวลาเป็นเดือนๆ ในรายที่เป็นมากอาจเหลือร่องรอยดำไว้บ้าง
⁕ ยาคุมกำเนิด ฮอร์โมนเอสโตรเจนเมื่อมีในร่างกายระดับสูง ส่งผลไปกระตุ้นเซลล์สร้างสีเมลาโนไซท์ ทำให้เกิดฝ้าได้ ฮอร์โมนชนิดนี้สามารถพบได้ในยาคุมกำเนิดหลายๆยี่ห้อ เพราะฮอร์โมนนี้เป็นกลไกสำคัญในการคุมกำเนิด คนที่ทานในระยะเวลา6เดือนเป็นต้นไป มักจะมีปัญหาเรื่องฝ้า ต้องคอยสังเกตว่าฝ้านั้นเกิดจากยาคุมกำเนิดหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นควรพบแพทย์เพื่อเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด
⁕ เครื่องสำอาง ในเครื่องสำอางบางชนิดมีการเจือปนสารเคมีหรือสารอันตรายต่อผิวหน้า เกิดอาการแพ้ ระคายเคือง จนกระทั่งสะสมบนใบหน้า ทำให้ใบหน้ามีรอยด่างดำเกิดเป็นฝ้าได้
⁕ ความเครียด เมื่อร่างกายเกิดความเครียด จะทำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมาในร่างกาย ซึ่งอนุมูลอิสระก็เป็นอีกตัวการหนึ่งที่มีส่วนไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวทำงานผิดปกติ
⁕ การพักผ่อน เมื่อพักผ่อนน้อย อดนอน นอนไม่พอ ทำให้การทำงานของต่อมเหงื่อลดลง จึงเกิดการขับของเสียลดลง เมื่อร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้การขับของเสียทางปัสสาวะแทน ส่งผลให้ไตทำงานหนัก จากนั้นผิวพรรณอาจแย่ลง เกิดสิวฝ้าและกระตามมาได้
⁕ การดื่มน้ำ การดื่มน้ำนอกจากจะคงสมดุลให้ร่างกายแล้ว ยังช่วยเป็นตัวกำจัดหรือขับสารพิษที่อาจตกค้างในร่างกาย และอาจก่อให้เกิดฝ้าได้ในอนาคต
วิธีรักษาฝ้าและกระฝ้า กระ จุดด่างดำ
แม้ฝ้าและกระบางชนิดจะไม่สามารถลบเลือนหรือหายได้อย่างถาวรแต่คุณสามารถลดเลือนรอยฝ้าและกระได้โดยการ ใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของ AHA (Alpha Hydroxy Acid) สารสกัดจากผลไม้หลากชนิด AHA มีประสิทธิภาพในการช่วยลดเลือนจุดด่างดำบนผิวและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยให้เซลล์ผิวเก่าหลุดออกเปิดเนื้อที่ให้เซลล์ผิวใหม่ในผิวชั้นล่างขึ้นมาทดแทน ทำให้ฝ้า กระ และจุดด่างดำเลือนลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจะเลือกใช้ครีมรักษาฝ้า กระ ลบรอยดำดีๆ สักตัวนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะสุ่มสี่ สุ่มห้า เลือกใช้ตามคำเชื่อโฆษณาทั่วไปได้ เราต้องเลือกซื้อจากส่วนประกอบที่มีในครีมด้วย รวมถึงความปลอดภัยของครีมที่ใช้ ว่าจะไม่มีสารอันตรายเป็นส่วนประกอบอยู่ในครีมรักษาฝ้าที่เราเลือกใช้ ต้องให้ความสำคัญในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตราฐานและผ่านการรับรองจาก อย. พร้อมรักษาฝ้า กระ รอยดำ ให้จางลงอย่างปลอดภัย และพร้อมป้องกันฝ้าไม่ให้เกิดขึ้นใหม่ โดยมีเทคนิคการเลือกใช้ครีมดังนี้
⁕ เลือกครีมที่มีสารอัลฟ่าอาร์บูติน จะช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน
⁕ เลือกครีมแก้ฝ้าที่ไม่ให้ผลเร็วเกินไป เพราะการใช้ครีมแก้ฝ้าที่เห็นผลเร็วอาจมาจากสารอันตราย เช่น สารไฮโดรควิโนน ที่ทำให้หน้าบางลง และอาจทำให้ฝ้า กระ ฝังลึกจนหมดหนทางรักษาได้ค่ะ
⁕ เลือกครีมแก้ฝ้าทีมีสารสกัด AHA จากกรดผลไม้ตามธรรมชาติ จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า และช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นด้วยค่ะข้อสำคัญ ควรใช้ควบคู่กับครีมกันแดด ที่มีค่า SPF30 – 50 ขึ้นไป เพื่อป้องกันการเกิดฝ้ามากขึ้น
การป้องกันฝ้าและกระ 
⁕ ทาครีมกันแดดหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง คุณควรเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของน้ำมากกว่าน้ำมันหรือสูตร Non-comedogenic เพื่อป้องกันการอุดตันของเนื้อครีมในรูขุมขน ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15- 30 ที่มีส่วนผสมของ PA ซึ่งมีประสิทธิภาพช่วยป้องกันรังสีอัลตร้า UVA และ UVB
⁕ หากคุณจำเป็นต้องทำกิจกรรมที่ต้องเผชิญกับแสงแดดมากเป็นพิเศษ คุณควรทาครีมกันแดดเพื่อการปกป้องผิวพร้อมทั้งใส่หมวกปีกกว้างและสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดเพื่อการปกป้องผิวที่มากขึ้น
⁕ พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดในช่วงเวลา 10.00-14.00 น เนื่องจากเป็นเวลาที่แสงแดดแรงที่สุด
⁕ หยุดรับประทานยาที่ส่งผลกระทบกับฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเหนิด เป็นต้น
⁕ ควรทำการทดสอบเครื่องสำอางหรือมอสเจอร์ไรเซอร์ทาตัวใหม่ก่อนใช้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการระคายเคืองของผิวหนัง และหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางหรือมอสเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดฝ้าได้
วิธีลดเลือนฝ้าและกระ ควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ แต่หากฝ้าและกระยังไม่ลดเลือน คุณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังสำหรับวิธีรักษากระหรือฝ้าที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี คุณควรทาครีมกันแดดหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแดดทุกครั้งเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดเพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีซึ่งเป็นตัวการก่อให้เกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ
ฝ้า (Melasma) เป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่กวนใจใครหลายๆคน ทำให้ใบหน้าไม่กระจ่างใส หรือทำให้ขาดความมั่นใจได้ และแม้ว่าจะดูแลผิวหน้าอย่างดีก็ยังมีโอกาสเกิดฝ้าได้ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณโหนกแก้ม แก้ม หน้าผาก หรือบริเวณรอบๆคิ้ว หรือปาก
ฝ้า หรือ Melasma คือ ปัญหาผิวหน้าชนิดหนึ่งที่เกิดจากการที่เซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง หรือเม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุที่ทำให้เซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกตินั้น ส่วนใหญ่มาจากการที่ได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจาก "แสงแดด" ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เนื่องจากเม็ดสีเมลานินมีหน้าที่กรองรังสี UV เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย จึงเกิดเป็น "ฝ้า" ซึ่งมีลักษณะเป็นสีดำอมน้ำตาล หรือเข้มกว่าสีผิว จะขึ้นเป็นแถบหรือปื้นบริเวณใบหน้า ที่หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว เหนือริมฝีปาก และโดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม สำหรับปัญหาเรื่องฝ้าจะเกิดกับผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปี ซึ่งผู้หญิงมีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชายถึง 9 เท่า
สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า
สาเหตุของการเกิดปัญหาเรื่องฝ้า คือ การที่เซลล์ผิวอ่อนแอลงด้วยปัจจัยจากทั้งภายในร่างกาย ซึ่งได้แก่ วัยที่เพิ่มขึ้น ความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และเมื่อถูกกระตุ้นซ้ำด้วยปัจจัยจากภายนอก เช่น แสงแดด ความร้อน มลภาวะต่างๆ ส่งผลให้เซลล์เม็ดสีที่ผิวหนัง มีการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ ทำให้ผิวหมองคล้ำ หรือเกิดรอยฝ้าขึ้น
ฝ้าที่ขึ้นบริเวณใบหน้า สามารถแบ่งประเภทได้ถึง 3 ชนิด
☀ ฝ้าตื้น เกิดจากความผิดปกติบริเวณชั้นหนังกำพร้า หรือผิวชั้นนอก มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม ขอบชัด มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย แต่ก็รักษาได้ง่ายเช่นกัน โดยใช้เวลารักษาไม่นานนัก
☀ ฝ้าลึก เกิดบริเวณชั้นหนังแท้ ผื่นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบไม่ชัดเจน เนื่องจากอยู่ในระดับที่ลึกมาก การรักษาจึงค่อนข้างยาก
☀ ฝ้าผสม คือ มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึก เกิดขึ้นที่ผิวหน้า เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในผู้ที่ประสบปัญหาเรื่องฝ้า
การที่สีผิวของแต่ละคนต่างกันนั้น สาเหตุหลักคือ พันธุกรรม ซึ่งทำให้องค์ประกอบของเม็ดสีที่ชั้นผิวหนังต่างกันจึงทำให้มีสีผิวที่แตกต่างกัน โดยเกิดจากเม็ดสีเมลานินนั่นเอง และเมื่อถูกแสงแดดนานๆ ผิวจะคล้ำลง ซึ่งเป็นผลให้สีผิวเปลี่ยนแปลงได้ มีสาเหตุจากจำนวนเม็ดสีเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเอนไซม์ที่ทำหน้าที่กระตุ้นการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานินต่างๆ
ในผิวหนังของเราที่ชั้นหนังกำพร้า จะมีเมลาโนไซต์ (Melanocyte) เป็นส่วนประกอบหนึ่ง ซึ่งภายในเมลาโนไซต์จะมีสารเมลานินหรือเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ซึ่งชนิดของเม็ดสีเมลานิน มี 3 แบบ คือ
ยูเมลานิน (Eumelanin) เม็ดสีเมลานินชนิดนี้จะมีสีน้ำตาล ดำ พบมากในคนผิวคล้ำ
ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) มีเม็ดสีสีแดง หรือเหลือง ซึ่งพบมากในคนผิวขาวมากกว่า
แบบผสม (Mixed melanin) คือ มีเม็ดสีเมลานินทั้งสองชนิดผสมกัน
การป้องกันการเกิดฝ้า
▶ หลีกเลี่ยงแสงแดดเมื่อไม่จำเป็น หรือควรใช้ร่มที่ป้องกันรังสียูวี สวมหมวก ใช้ผ้าคลุม โดยเฉพาะแดดช่วง 10.00 -16.00 น.
▶ หลีกเลี่ยงยาที่เป็นต้นเหตุให้เกิดฝ้า หรือยาเพิ่มฮอร์โมนอื่นๆ เช่น ยาคุมกำเนิด อาจจะต้องเปลี่ยนการคุมกำเนิดโดยต้องปรึกษาแพทย์ก่อน
▶ เครื่องสำอางบางชนิด อาจมีสารที่ทำให้เกิดฝ้าได้ จึงควรเลือกเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมและคุณสมบัติที่ดี ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหน้า
▶ ครีมกันแดดที่มี SPF30+ ขึ้นไป เพื่อป้องกันยูวีเอ และมีค่าป้องกัน PA2+ ขึ้นไป เพื่อป้องกันยูวีเอ โดยควรทาครีมกันแดดก่อนที่จะออกแดด 30 นาที
▶ ใช้ครีมทาที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือครีมไวท์เทนนิ่งอื่นๆ เพื่อป้องกันผิวหน้ามีสีเข้มขึ้น
▶ พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน หลีกเลี่ยงความเครียด ทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
หน้าหมองคล้ำไม่กระจ่างใสอาจเป็นปัญหากวนใจที่มักเกิดขึ้นหลังผิวหน้าเผชิญกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ เช่น แสงแดด หรืออากาศหนาว หรืออาจเกิดจากปัจจัยอื่นในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด การสูบบุหรี่ หรือความเครียด อย่างไรก็ตาม การดูแลผิวหน้าอย่างเหมาะสมสม่ำเสมอ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ทางการแพทย์ในปัจจุบันอาจช่วยแก้ไขปัญหาหน้าหมองคล้ำให้ผิวหน้ากลับมาขาวใสได้อีกครั้ง
สาเหตุหลักของหน้าหมองคล้ำไม่กระจ่างใส 
☀ แสงแดด แม้การรับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้าช่วยให้ผิวหนังผลิตวิตามินดีซึ่งจำเป็นต่อพัฒนาการของกระดูกและสุขภาพของผิวหนัง แต่การรับแสงแดดที่ร้อนจ้าหรือถูกแดดเป็นเวลานานเกินไป อาจทำให้เกิดอันตรายต่อผิวได้ นอกจากทำให้หน้าหมองคล้ำ ผิวหยาบกร้าน มีจุดด่างดำ รังสียูวีจากแดดจะทำลายเส้นใยในผิวหนังหรืออีลาสติน (Elastin) ทำให้ผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น เป็นริ้วรอย ขาดความกระชับตึง ดังนั้น การรักษาผิวให้กลับไปดีดังเดิมจึงเป็นไปได้ยาก และอาจเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังจากรังสียูวีได้ด้วยเช่นกัน
☀ สภาพอากาศ อากาศที่หนาวเย็นจะดูดซับความชุ่มชื้นไปจากผิว ทำให้ผิวแห้งและแตกเป็นขุย ส่งผลให้หน้าหมองคล้ำได้ แม้ไม่ได้อยู่ในสภาพอากาศเย็นจัด แต่การอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ก็อาจทำให้ผิวแห้งได้ เนื่องจากอากาศภายในห้องมีความชื้นต่ำ โดยสภาพผิวที่แห้งมาก ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้ด้วย เช่น ผิวแตก ผิวลอก มีผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ เป็นต้น
☀ ความเครียด อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหน้าดูหมองคล้ำ ผิวแห้ง และอาจทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย เนื่องจากเมื่อเผชิญความเครียดร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นจนทำให้เกิดสิวนั่นเอง
☀ การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากเกินไป การใช้ทั้งคลีนเซอร์ ครีมบำรุงผิว หรือโลชั่น อาจทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ เกิดอาการระคายเคืองและผิวลอกได้ เนื่องจากส่วนประกอบต่าง ๆ ในครีมทาผิว อาจมีปฏิกิริยากับสารบางชนิดจนส่งผลให้ประสิทธิภาพของครีมชนิดอื่น ๆ ลดลง เช่น การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกหรือกรดไกลโคลิก จะลดประสิทธิภาพของผลิตภัณ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ เรตินอล ไฮโดรควิโนน หรือ วิตามินซี เป็นต้น
☀ การสูบบุหรี่ ควันบุหรี่ทำลายออกซิเจนในผิว ทำให้หน้าหมองคล้ำ แห้งกร้าน ดูแก่กว่าวัย และมีผิวมันมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนี้ นิโคตินในบุหรี่ยังทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี และทำให้ประสิทธิภาพของหลอดเลือดในการดูดซับวิตามินเอลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวแห้งและหยาบกร้าน
☀ ดื่มน้ำไม่เพียงพอ หากร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำอาจทำให้มีอาการปวดศีรษะ ไม่มีสมาธิ และอาจเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น หน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส ไร้ชีวิตชีวา นอกจากนี้ ผิวหน้าซึ่งขาดน้ำเพราะดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปและพักผ่อนไม่เพียงพออาจหมองคล้ำและหย่อนคล้อยได้
☀ อายุ วัยที่เพิ่มขึ้นทำให้ผิวเสื่อมสภาพลงได้ โดยผิวหน้าจะเริ่มมีริ้วรอย หย่อนคล้อย ขาดความกระชับ มีฝ้าและกระเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งผิวหน้าหมองคล้ำลงด้วย
☀ การผลัดเซลล์ผิวช้า โดยปกติเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วมักหลุดลอกออกไปได้เองและจะผลัดเซลล์ผิวใหม่ทุก 28 วัน แต่กระบวนการผลัดผิวที่เกิดขึ้นช้าอาจส่งผลให้หน้าหมองคล้ำและหยาบกร้านได้
วิธีดูแลหน้าหมองคล้ำไม่กระจ่างใส 
● ใช้ครีมกันแดด ควรปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดทุกวันแม้ในวันที่ไม่มีแดด โดยควรเลือกครีมกันแดดที่ป้องกันผิวจากรังสียูวีเอและยูวีบีได้ โดยมีค่าป้องกันแสงแดด (SPF) ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งในตอนกลางวัน
● เลิกสูบบุหรี่ ควันบุหรี่มีก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่ทำให้ผิวขาดออกซิเจน และมีสารนิโคตินที่ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดจนทำให้ผิวแห้งและสีผิวเปลี่ยนไป นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังลดประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ รวมทั้งวิตามินดีซึ่งช่วยป้องกันและฟื้นฟูสภาพผิวที่ถูกทำลายด้วย การเลิกบุหรี่จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาหน้าหมองคล้ำได้
● ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยเฉพาะชนิดที่มีส่วนผสมของ AHA ซึ่งช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวหน้า หรืออาจปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อให้จ่ายยาเตรติโนอิน ซึ่งช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวหน้าดูสว่างและกระจ่างใสขึ้น
● รับประทานวิตามินซี วิตามินซีเป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรง และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งกระจ่างใสขึ้น จึงควรรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีซึ่งพบมากในผักและผลไม้ต่าง ๆ เช่น ส้ม มะละกอ สตรอเบอร์รี่ มันเทศ และมะพร้าว เป็นต้น แต่หากต้องการบริโภควิตามินซีในรูปแบบอาหารเสริม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรให้ดีก่อนเสมอ รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
● ปรึกษาแพทย์ บางกรณีอาการผิวแห้งและใบหน้าหมองคล้ำอาจเกิดจากปัญหาสุขภาพได้ เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคไต การไปพบแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจช่วยบรรเทาอาการและทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้นได้
● เสริมความงามและศัลยกรรม หากใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือแก้ปัญหาหน้าหมองคล้ำด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล อาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมในการรักษาดูแลผิวหน้าให้กระจ่างใส เช่น
- สครับผิว เป็นการขัดผิวเพื่อลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป โดยใช้สารหรือวัตถุดิบต่าง ๆ มาสครับใบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น
- ลอกผิวด้วยสารเคมี เป็นการใช้สารเคมี เช่น กรดซาลิไซลิก กรดแลคติก หรือกรดคาร์บอลิก ทาลงบนผิวเพื่อช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออก กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ฟื้นฟูสภาพผิวให้สว่างและดูอ่อนกว่าวัย
- กรอผิวด้วยเครื่องมือ เป็นการลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว โดยการใช้เครื่องกรอผิวกำจัดผิวชั้นหนังกำพร้าออกไป เพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส ใบหน้ากระชับ และลดริ้วรอยต่าง ๆ
- ลอกหน้าด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีการรักษาผิวหน้าที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าวิธีอื่น ๆ โดยแพทย์จะใช้เลเซอร์ลอกผิวหน้าเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ซึ่งช่วยให้ผิวหน้าที่โทรมและหมองคล้ำกลับมาสดใสอีกครั้ง