กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
รู้จัก “โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ” กันก่อน
การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจาก เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการขึ้นมา มักจะเกิดในผู้หญิง เนื่องจากท่อปัสสาวะสั้น และรูเปิดของท่อปัสสาวะอยู่ใกล้ทวารหนัก จึงทำให้เชื้อสามารถเข้าไปในท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ ส่วนใหญ่พบในหญิงวัยเจริญพันธ์แต่ก็สามารถพบได้ในเด็ก การมีเพศสัมพันธ์จะทำให้เชื้อเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ เมื่อเชื้อเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะและแบ่งตัวมากกว่าถูกขับออกไปจึงทำให้เกิดโรคได้
อาการที่เกิดขึ้นเป็นอย่างแรกและเด่นชัดที่สุด คือ รู้สึกปวดปัสสาวะมากและบ่อย แต่เมื่อไปเข้าห้องน้ำกลับถ่ายปัสสาวะได้เพียงปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น และตามมาด้วยอาการเจ็บอย่างรุนแรง บางครั้งอาจมีเลือดปนออกมาในปัสสาวะได้ อาจมีอาการปวดท้องน้อยรวมทั้งอาการครั่นเนื้อครั่นตัวร่วมด้วย
รู้หรือไม่ว่า “กระเพาะปัสสาวะอักเสบ” เกิดจากอะไร?
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis หรือ Lower urinary tract infection) คือ โรคที่เกิดจากกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นโรคพบบ่อยโรคหนึ่ง โดยพบได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ โดยทั่วไปพบสูงในช่วงอายุ 20 - 50 ปี พบในผู้หญิงสูงกว่าในผู้ชายมาก ทั้งนี้อธิบายได้จากท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าของผู้ชายมาก เชื้อโรคบริเวณปากท่อปัสสาวะจึงเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า นอกจากนั้นปากท่อปัสสาวะของผู้หญิงยังเปิดออกสู่ภายนอกในบริเวณใกล้กับช่องคลอดและทวารหนัก จึงมีโอกาสติดเชื้อทั้งจากช่องคลอดและจากทวารหนักได้สูงกว่าในผู้ชาย
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ พบได้ทั้งจากการอักเสบเฉียบพลันที่มีอาการเกิดทันทีและรักษาหายได้ภายใน 2 - 3 สัปดาห์ หรือจากการอักเสบเรื้อรังซึ่งมักมีอาการอักเสบเป็นๆหายๆเรื้อรัง แต่มีอาการรุนแรงน้อยกว่าการอักเสบเฉียบพลัน
อาการใดบ้างที่บ่งบอกว่า คุณกำลังเป็น “โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ”
- ★ ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะครั้งละน้อยๆ ปวด เบ่ง แสบ โดยเฉพาะตอนสุดปัสสาวะ
- ★ ปัสสาวะเป็นเลือด อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า คือ ปัสสาวะสีชมพูหรือเป็นเลือด หรือตรวจพบเม็ดเลือดแดงได้จากการตรวจปัสสาวะ
- ★ ปัสสาวะขุ่น (ปัสสาวะปกติต้องใส) หรืออาจเป็นหนองขึ้นกับความรุนแรงของโรค และ/หรือ มีกลิ่นผิดปกติ
- ★ มีไข้ มีได้ทั้งไข้สูงและไข้ต่ำ แต่มักไม่มีไข้เมื่อเป็นการอักเสบเรื้อรัง
- ★ บางครั้งอาจมีสารคัดหลั่งบริเวณอวัยวะเพศร่วมด้วยเมื่อเกิดจากติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ★ อาจมีคลื่นไส้อาเจียนได้เมื่อเป็นการติดเชื้อเฉียบพลัน
- ★ อาจมีนิ่วปนออกมาในปัสสาวะเมื่อเกิดร่วมกับนิ่วในไตหรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
ปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ 
★ ผู้หญิง
★ ผู้สูงอายุ เพราะสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศไม่ดี โดยเฉพาะผู้ที่ขาดคนดูแล
★ การกลั้นปัสสาวะนานๆ
★ ดื่มน้ำน้อย ปัสสาวะจึงแช่ค้างหรือกักคั่งในกระเพาะปัสสาวะ แบคทีเรียจึงเจริญเติบโตได้ดี
★ โรคเบาหวาน เป็นโรคก่อการอักเสบติดเชื้อของเนื้อเยื่อต่างๆได้ง่าย รวมทั้งของกระเพาะปัสสาวะ
★ โรคที่ต้องนั่งๆนอนๆตลอดเวลา เช่น โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์/อัมพาต ส่งผลให้ปัสสาวะแช่ค้างอยู่นานในกระเพาะปัสสาวะ
★ การใช้สายสวนปัสสาวะ โดยเฉพาะต้องคาสายสวนปัสสาวะนานๆหรือตลอดเวลา เพราะกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะจะเกิดการบาดเจ็บจากสายสวนนั้น จึงติดเชื้อได้ง่าย
★ มีโรคเรื้อรังของท่อปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะตีบจากสาเหตุต่างๆ เช่น โรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงมักมีปัสสาวะแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะ แบคทีเรียจึงเจริญเติบโตได้เร็ว
★ โรคติดเชื้อของไต โรคนิ่ว ทั้งนิ่วในไตและนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
★ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์)
★ หญิงตั้งครรภ์ เพราะการกดเบียดทับของครรภ์ต่อกระเพาะปัสสาวะมักก่อปัญหาปัสสาวะไม่หมด
★ ใช้สเปรย์ดับกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศ เพราะจะก่อการระคายเคืองเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะ และปากช่องคลอด เพิ่มโอกาสเกิดการบาดเจ็บและการติดเชื้อของเนื้อเยื่อ
★ ผู้หญิงที่ใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยยาฆ่าอสุจิ หรือการใช้ฝา/หมวกครอบปากมดลูก (Cervical diaphragm) เป็นสาเหตุก่อการระคายเคืองและบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากช่องคลอด ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
★ ในผู้ชาย มักพบสัมพันธ์กับต่อมลูกหมากโตและ/หรือต่อมลูกหมากอักเสบ ส่งผลให้ปัสสาวะไม่หมด
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ 
- 1. ควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ ประมาณ 6-8 แก้ว ต่อวัน (เมื่อไม่มีโรคที่ต้องจำกัดการดื่มน้ำ เช่น โรคหัวใจล้มเหลว) ซึ่งการดื่มน้ำจะช่วยขับเชื้อโรคออกและลดการปวดแสบปวดร้อน เวลาปัสสาวะได้
- 2. ควรถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวด ไม่กลั้นปัสสาวะ
- 3. หลีกเลี่ยงสารอาหารที่ระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ เช่น กาแฟ แอลกอฮอล์ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ใส่น้ำตาล
- 4. พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเสมอ ไม่ควรนั่งแช่อยู่กับที่เป็นเวลานานๆ
- 5. การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศหรือภายหลังการขับถ่าย(ในผู้หญิง) ต้องทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรคปนเปื้อนผ่านเข้าท่อปัสสาวะเข้ามาในกระเพาะปัสสาวะ
- 6. ในผู้หญิงไม่ควรใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฆ่าอสุจิหรือการใช้ฝาครอบปากมดลูก เพราะเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากช่องคลอด ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- 7. ไม่ควรใช้สเปรย์หรือยาดับกลิ่นตัวในบริเวณอวัยวะเพศเพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากช่องคลอด ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสเกิดการบาดเจ็บและการติดเชื้อของเนื้อเยื่อ
- 8. ควรอาบน้ำจากฝักบัว หลีกเลี่ยงการอาบน้ำในอ่าง เพราะอาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- 9. ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และลดโอกาสการติดเชื้อรุนแรง
- 10. ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจทำให้ได้ยาที่ไม่ตรงกับชนิดของโรค หรือขนาดและระยะเวลาในการใช้ยาไม่ถูกต้อง จึงอาจส่งผลให้โรคไม่หาย และอาจกลายเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังจากเชื้อดื้อยาได้
เอกสารอ้างอิง
• ศ.เกียรติคุณ นพ.ธงชัย พรรณลาภ. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. [Internet]. เข้าถึงได้จาก:
https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=9
• รศ.นท.ดร.สมพลเพิ่มพงศ์โกศล. การติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ. [Internet]. เข้าถึงได้จาก:
https://med.mahidol.ac.th/surgery/sites/default/files/public/pdf/Urinary%20tract%20infection.pdf
• แพทย์หญิงวิกานดา รัตนพันธ์. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis) : การรักษา ประเภท อาการ สาเหตุ. [Internet].
เข้าถึงได้จาก: https://bupa.co.th/cystitis-0131/