แสงแดดประกอบด้วยคลื่นความถี่ของรังสี ที่แตกต่างกันตามความยาวคลื่น แสงที่มองเห็นมีความยาวคลื่นในช่วง 400-700 นาโนเมตรในขณะที่แสงที่มองไม่เห็น ที่สำคัญได้แก่ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มีความยาวคลื่นสั้นในช่วง 280-400 นาโนเมตร และแสงอินฟราเรดมีความยาวคลื่นยาวอยู่ในช่วง 700 นาโนเมตร - 1 มม. รังสีที่มีความยาวคลื่นยาว ทั้งแสงที่มองเห็น และอินฟราเรดในแสงแดด มีโอกาสที่จะเจาะลึกลงไปก่อให้เกิดความเสียหายในผิวได้น้อย
ในสภาวะในปัจจุบัน โลกมีความร้อนมากขึ้น รวมทั้งสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นไฟส่องสว่างจากแสงไฟที่ทำงาน หรือแสงแดดมลภาวะต่างๆ รวมไปถึงคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ที่หลายคนต้องเผชิญโดยเลี่ยงไม่ได้ กันแดด จึงจำเป็นและมีบทบาทสำคัญ ที่เป็นตัวช่วยอย่างดีในการปกป้องสุขภาพผิว และป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่เกี่ยวกับผิวหนัง กันแดดจึงมีบทบาทสำคัญ ต่อผู้คนในยุคปัจจุบัน แสงแดด ที่เราต้องเผชิญในแต่ละวันเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้นที่มีผลต่อสุขภาพผิวหน้า นำไปสู่ปัญหาผิวได้หลายประการ ทั้งริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย จุดด่างดำ ฝ้า กระแดด หรือเป็นสิว แม้จะมีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด แต่ก็เป็นเพียงตัวช่วยเสริมเท่านั้น เพราะการปกป้องผิวจากแสงแดดที่ดีที่สุดคือการใช้ครีมกันแดด ดังนั้นการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยให้คุณค้นหาครีมกันแดดที่ดีที่สุดสำหรับสภาพผิวของคุณ
แสงแดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรังสียูวีเอ และรังสียูวีบี สามารถทำให้เกิดผิวไหม้, ริ้วรอยก่อนวัย, ความเสียหายต่อดวงตา, ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ, ผื่นแพ้แดด(Photoallergic) และผื่นที่เหมือนกับถูกแดดเผาไหม้( Phototoxic reactions) และแม้แต่โรคมะเร็งผิวหนัง แพทย์และแพทย์ผิวหนังจำนวนมากขึ้น เตือนถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันระหว่างความถี่ของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง และขอบเขตของความเสียหายของดีเอ็นเอ โดยพบว่ากว่า 90% ของมะเร็งผิวหนังเป็นผลมาจากแสงแดด และเป็นที่ทราบกันดีว่าการรักษาที่ดีที่สุด คือการป้องกันโดยการปกป้องผิวจากแสงแดด
ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดในปัจจุบัน นอกจากจะต้องมีประสิทธิภาพในการปกป้องรังสี UVA/UVB จากแสงแดดได้ดีแล้ว ควรมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากคลื่นรังสีและคลื่นแสงจากที่อื่นๆ ด้วย เช่น แสงจากหลอดไฟ จอโทรทัศน์ จอโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้สามารถปล่อยพลังงาน High-energy visible light(HEVIS Light) หรือ แสงสีฟ้า ซึ่งมีอานุภาพในการทำร้ายเซลล์ผิวเทียบเท่ากับรังสี UVA และ UVB สามารถกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) และเม็ดสีเมลานิน ต้นตอของการเกิดจุดด่างดำ ฝ้า กระ รวมถึงปัญหาผิวและริ้วรอยอื่นๆ ได้เช่นกัน
เพื่อให้ผิวได้รับการปกป้องและดูแลปัญหาผิวได้เป็นอย่างดี วันนี้เรามีคำแนะนำการเลือกครีมกันแดด สำหรับแต่ละสภาพผิวมาแนะนำ
SPF (Sun Protection Factor) หรือค่าความสามารถในการป้องกันรังสี UVB ซึ่งตัวเลขที่ต่อท้ายจะเป็นการบอกค่าจำนวนเท่าของระยะเวลาที่ผิวสามารถทนต่อรังสีได้ โดยหลังจากนั้นถึงจะเกิดอาการแดงหรือผิวไหม้แดด ปัจจุบันในครีมกันแดดมีค่าปกป้องแตกต่างหลายระดับ เพื่อให้สามารถเลือกใช้งานได้ตามแต่สถานการณ์
PA (Protection Grade of UVA) คือ ค่าที่แสดงถึงการปกป้องผิวจากรังสี UVA ที่สามารถทำร้ายผิวได้ลึกจนทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ ริ้วรอย และความแก่ก่อนวัย ส่วนเครื่องหมาย + ที่ตามหลังนั้น คือค่าความสามารถในการปกป้องผิว
ครีมกันแดดทั่วไปมักจะเน้นไปที่การปกป้องรังสี UVA/UVB จากแสงแดดเป็นหลัก แต่เพราะไลฟ์สไตล์แบบชีวิตติดจอของคนยุคใหม่ในปัจจุบัน การเลือกกันแดดที่ดีที่สุดจึงต้องช่วยปกป้องได้มากกว่าและต้องมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการทำร้ายผิวจากแสงแดดและรังสีต่างๆ ได้อีกด้วย
นอกจากคุณสมบัติที่สำคัญทั้ง 2 ข้อจากที่กล่าวมาแล้วนั้น หัวใจสำคัญอีกข้อคือ เนื้อสัมผัส ควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งความมันตกค้าง เกาะติดผิวแต่ไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะ ไม่หลุดง่ายระหว่างวัน มีส่วนผสมที่อ่อนโยน เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาผิวของ
สารที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวี (Ultraviolet Radiation: UV) โดยช่วยให้ผิวไม่ถูกแสงแดดทำลายจนไหม้หรือเกิดจุดด่างดำต่าง ๆ รวมทั้งลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง ส่วนผสมที่อยู่ในครีมกันแดดจะช่วยปกป้องผิวด้วยวิธีต่าง ๆ ทั้งดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต ปกป้องชั้นผิวที่อยู่ลึก หรือสะท้อนรังสีอัลตราไวโอเลตกลับออกไป ทั้งนี้ ครีมกันแดดมีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ โลชั่น ครีม ขี้ผึ้ง หรือสเปรย์ครีมกันแดดสามารถแบ่งประเภทได้หลายประเภท โดยการจัดครีมกันแดดจะแบ่งออกเป็นประเภทตามกลไกการป้องกันแสงแดด และประเภทตามบริเวณที่ใช้ทา ดังนี้
หากพิจารณากลไกการป้องกันแสงแดด ครีมกันแดดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สารกันแดดแบบเคมี และสารกันแดดแบบกายภาพ ดังนี้
ครีมกันแดดมีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ ซึ่งอาจแบ่งประเภทตามบริเวณที่ใช้ทาครีมกันแดด โดยทั่วไปแล้ว ครีมกันแดดจะมีทั้งแบบโลชั่น ครีม เจล ขี้ผึ้ง สเปรย์ หรือผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอื่น ๆ ซึ่งมีประโยชน์ใช้สอยและเหมาะกับการใช้ทาเพื่อปกป้องแสงแดดตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้
✿ แบบครีม เหมาะใช้ทาบริเวณใบหน้าและผู้ที่มีผิวแห้ง
✿ แบบเจล เหมาะสำหรับทาบริเวณที่มีขน เช่น หนังศีรษะหรือหน้าอกของผู้ชาย
✿ แบบแท่ง ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบบแท่ง อาจผสมสารกันแดดร่วมด้วย ซึ่งเหมาะใช้ทาบริเวณที่อยู่รอบดวงตา
✿ แบบสเปรย์ สารกันแดดในรูปแบบสเปรย์อาจนำมาใช้ทากันแดดให้แก่เด็ก เนื่องจากทาได้ง่าย โดยควรทาสารกันแดดเพื่อปกป้องผิวในปริมาณที่เพียงพอ และไม่ควรสูดดมหรือฉีดสเปรย์ใกล้วัตถุไวไฟหรือขณะที่สูบบุหรี่
นอกจากนี้ ยังมีครีมกันแดดที่ผลิตขึ้นมาสำหรับเด็กหรือผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ รวมทั้งผสมสารป้องกันแสงไว้ในเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ ซึ่งควรใช้ตามวัตถุประสงค์หลักของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ไม่ควรนำมาใช้เพื่อป้องกันแสงแดด
หากโดนแสงแดดมาก ๆ โดยที่ไม่มีครีมกันแดดป้องกันไว้เลย ก็จะทำให้ผิวของเราคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเมื่อแสงแดดเข้าสู่ผิว แล้วไม่เจอครีมกันแดดป้องกัน ผิวของเราจะทำหน้าที่ปกป้องผิวตัวเอง ด้วยการผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น เลยส่งผลให้ผิวเราคล้ำขึ้นนั่นเอง และอีกหนึ่งผลเสียที่ตามมาก็คือ สีผิวจะไม่สม่ำเสมอกันด้วย
ริ้วรอยก่อนวัยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากแสงแดด รวมถึงฝ้า กระ จุดด่างจากอายุ (หรือที่เรียกว่า “Liver spot”), หลอดเลือดดำที่มีลักษณะเหมือนใยแมงมุม (Spider Vein) บนใบหน้า ผิวหยาบ และริ้วรอย ทั้งหมดล้วนเชื่อมโยงไปถึงการสัมผัสแสงแด
เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดของความเสียหายจากดวงอาทิตย์และส่วนใหญ่เกิดจากรังสียูวีบี มีลักษณะ ผิวสีแดง เจ็บและพุพอง อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏขึ้นทันที อาจใช้เวลาถึงห้าชั่วโมงจึงปรากฏ ผิวไหม้แดด (Sunburn) สามารถป้องกันได้โดย การใช้ครีมกันแดดทุกวัน และโดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดวงอาทิตย์เมื่อรังสียูวีแรง (10:00-4:00) หลักการรักษาการถูกแดดเผาอคือการระบายความร้อนที่ผิวหนังเพื่อบรรเทาอาการปวดและการอักเสบ รวมถึงการใช้ผ้าสักหลาดเย็นประคบบริเวณพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และใช้ผลิตภัณฑ์ที่เย็นปลอบประโลมผิว 'หลังจากสัมผัสแสงจากดวงอาทิตย์
อัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนส่งผลให้ผิวคล้ำขึ้น และเกิดฝ้ากระได้ การโดนแดดสะสมเป็นเวลานานๆ โดยไม่มีการป้องกัน อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย
โรคมะเร็งผิวหนังมีแนวโน้มที่จะเกิดกับผิวหนังบริเวณที่สัมผัสกับดวงอาทิตย์ ดังนั้นผิวหน้าเพื่อจึงเป็นบริเวณหนึ่งที่มีความเสี่ยง เกิดเป็นผื่นผิวหนังที่มีลักษณะหยาบเป็นขุย (Actinic keratosis) ซึ่งสามารถที่จะพัฒนาไปเป็นมะเร็งได้ ผื่นผิวหนังที่มีลักษณะหยาบเป็นขุย (Actinic keratoses) เป็นสะเก็ดแห้งของผิว เกิดความเสียหายหลังจากสัมผัสแสงแดด อาจเป็นสีชมพู, สีแดง หรือสีน้ำตาล มีความกว้าง 0.5 ถึง 3 ซม. พบมากที่สุดบนใบหน้า (โดยเฉพาะริมฝีปากจมูกและหน้าผาก), คอแขน และหลังของมือ และในผู้ชายบนขอบของหู และกระโหลกศีรษะล้าน และในผู้หญิงที่ขาใต้เข่า
การเลือกซื้อครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันแสงแดดอย่างถูกต้อง ทำได้ ดังนี้
► ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PA ให้เหมาะกับกิจวัตรประจำวันที่อาจส่งผลต่อคุณภาพที่ดีของแต่ละคน
ค่า PA คือ ค่าระดับความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) ระบุค่าความสามารถเป็นจำนวนเครื่องหมายบวก (+) PA + คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากความหมองคล้ำ ได้มากกว่าผิวปกติ 2-4 เท่า PA ++ คือ ความสามารถในการปกป้องผิวจากความหมองคล้ำ ได้มากกว่าผิวปกติ 4-8 เท่า
PA+ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี
PA++ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีได้ปานกลาง ทำงานในที่ร่ม หรือในออฟฟิศ
PA+++ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีได้มาก สามารถทำงานกลางแดดจ้าได้
PA++++ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสีได้สูงมาก ทำงานกลางแดดตลอดเวลาได้
► เลือกครีมกันแดดที่ปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุม (Broad-Spectrum) ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีเอและรังสียูวีบีเนื่องจากครีมกันแดดทุกตัวจะช่วยป้องกันรังสียูวีบี ซึ่งเป็นรังสีที่ทำให้ผิวไหม้และเป็นมะเร็งผิวหนัง ครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์ป้องกันแดดอื่น ๆ ที่ป้องกันทั้งรังสียูวีเอและยูวีบีจะได้รับการระบุบนฉลากผลิตภัณฑ์ว่า Broad-Spectrum ส่วนครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่ไม่ได้รับการระบุดังกล่าวจะป้องกันผิวไหม้ แต่ไม่ครอบคลุมการป้องกันมะเร็งผิวหนังและผิวแก่ก่อนวัย
► ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือมากกว่านั้น โดยค่า SPFจะช่วยบอกระดับการป้องกันผิวจากรังสียูวีบี ครีมกันแดดที่มีค่าดังกล่าวสูงก็จะปกป้องผิวจากแสงแดดได้มาก โดยครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 จะกรองรังสียูวีบีได้ร้อยละ 93 ครีมกันแดดที่มีค่า 30 จะกรองได้ร้อยละ 97 และครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 กรองได้ร้อยละ 98 ส่วนครีมกันแดดที่มีค่า SPFต่ำกว่า 15 สามารถป้องกันผิวไหม้ได้ แต่ไม่ป้องกันมะเร็งผิวหนังหรือผิวแก่กว่าวัย
► เลือกครีมกันแดดที่กันน้ำได้ (Water Resistant) โดยครีมกันแดดชนิดนี้จะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดระหว่างที่ว่ายน้ำหรือเหงื่อออกได้นานประมาณ 40-80 นาที ผู้ใช้ควรทาครีมกันแดดซ้ำอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น
► เด็ก และผู้ที่มีปัญหาผิวหนังหรือเกิดอาการแพ้อื่น ๆ ควรเลือกครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่ผสมไททาเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) หรือซิงก์ออกไซด์ (Zinc Oxide) ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองได้น้อย เลี่ยงใช้ครีมกันแดดที่ผสมกรดพาราอะมิโนเบนโซอิก (Para-Aminobenzoic Acid: PABA) หรือกรดพาบา หรือผสมเบนโซฟีโนน (Benzephenones) เช่น ไดออกซิเบนโซน (Dioxybenzone) ออกซิเบนโซน (Oxybenzone) หรือซอลลิเบนโซน(Sulisobenzone) รวมทั้งครีมกันแดดที่ผสมแอลกอฮอล์ น้ำหอม และวัตถุกันเสีย
การใช้ครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
● ครีมกันแดดช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีเอและรังสียูวีบี ผู้ใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอจะได้รับประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งช่วย:
● ป้องกันความเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้ง่าย
● ปกป้องผิวไม่ให้ถูกแสงแดดเผาหรือทำลาย
● ช่วยไม่ให้ผิวแก่ก่อนวัย ส่งผลให้ไม่เกิดจุดด่างดำหรือฝ้าบนใบหน้าและผิวหนังส่วนอื่น
● ผู้ใช้ครีมกันแดดอาจได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ครีม ดังนี้
● ลดการผลิตวิตามินดีของผิวหนัง ผู้ใช้ครีมกันแดดอาจรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีหรือวิตามินเสริม เพื่อเสริมสร้างวิตามินดีให้ร่างกายอย่างเพียงพอ
● มีคราบครีมกันแดดติดตามเสื้อผ้า เนื่องจากครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์กันแดดบางตัวผสมกรดอะมิโนเบนโซอิก หรือกรดพาราอะมิโนเบนโซอิก
● ผิวแพ้ง่ายขึ้น เกิดการระคายเคือง หรือมีรอยแดงที่ผิว เนื่องจากครีมกันแดดมีส่วนผสมบางตัวที่ทำให้ผิวแพ้สารต่าง ๆได้ง่าย ควรล้างออกและหยุดใช้ รวมทั้งปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อเลือกใช้ครีมกันแดดหรือผลิตภัณฑ์ป้องกันแดดตัวอื่นแทน
ทั้งนี้ทั้งนั้น กันแดดทุกตัวในท้องตลาดที่เขียนกันข้างผลิตภัณฑ์ ไม่สามารถปกป้องดดอย่างมีประสิทธิภาพได้ 100% ทุกตัวตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ อาจจะด้วยคุณภาพของตัวสินค้า มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ รวมถึงวิธีการผลิตในท้องตลาด ก่อนจะเลือกใช้นั้นและควรเลือกสินค้าที่มีมาตรฐานที่ดีที่สุดต่อการดูแลผิวพรรณ ซึ่งจะส่งผลและประสิทธิภาพผิวอีกด้วย
สินค้าของแท้
ส่งเร็วทันใจ
เปลี่ยน/คืนได้ภายใน 14 วัน
รีวิวมากมายจากผู้ใช้จริง